
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
เที่ยวสวนทวีชล

สวนทวีชล ตั้งอยู่บนถนนสายเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด หลักกิโลเมตรที่ 10-11 มีเนื้อที่ 286-300 ไร่ เปิดบริการมาตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2548 โดยคุณทวีศักดิ์ – คุณชลางค์ เสสะเวช เดิมทีสวนฯ ทวีชลของเราเป็นสวนลำใย และผลไม้อื่นๆ เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อการศึกษาสำหรับการเลี้ยงวัวนม ที่นากลายเป็นทุ่งหญ้าที่เป็นหญ้าพันธุ์ตระกูลถั่วฮามาต้า ที่ใช้สำหรับเลี้ยงวัวนมโดยเฉพาะ มูลสัตว์นำมาทำไบโอแก๊ส และปุ๋ย ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นสวนฯ สวยงามเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อการ เรียนรู้ เพื่อการศึกษา โดยรวบรวมพันธุ์ไม้หายากมารวมไว้ที่นี่ เพื่อความเพลิดเพลิน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สวนฯ ทวีชลถูกจัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาชนิดเพื่อการศึกษา พันธุ์ไม้ภายในสวนฯ ถูกแบ่งกลุ่มพันธุ์ไม้ดังนี้
พันธุ์ปาล์ม พันธุ์ปรงพันธุ์ไม้ทนแล้ง เช่น กระบองเพ็ด ไม้อวบน้ำต่างๆ พันธุ์ไม้ดอก เช่น กุหลาบ กล้วยไม้ ชวนชม เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน หน้าวัว เฮลิโคเนีย ดาหลา ขิงแดงพันธุ์สับปะรดสีไม้ใบชนิดต่างๆเช่นอโกลนีม่า ฟิโลเดนดรอน โกสน เฟิร์นชนิดต่างๆ ไม้ดอกตามฤดูกาล จัดทำในรูปแปลง เพื่อนำไปประดับสถานที่ต่างๆ พันธุ์ไม้ทุกชนิด มีการขยายพันธุ์ไว้ทดแทนที่เสียหาย และจัดจำหน่าย ทั้งนี้ได้พยายามติดป้ายชื่อพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ให้ผู้พบเห็นได้ศึกษา ส่วนใหญ่แล้วการเกษตรที่สวนฯ จะเน้นหนักการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมัก ใบไม้ใบหญ้าที่ร่วง จะถูกเก็บเพื่อนำมาหมักทำปุ๋ย สำหรับกิ่งก้านใบปาล์มเรามีเครื่องมือเพื่อหั่นย่อยให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วนำมาหมักด้วยวิธีเติมอากาศทำให้ย่อยสลายเร็วขึ้น กิ่งก้านต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งใบจะถูกนำมาเผาในรูปแบบของการได้ผลิตผลเพื่อนำมาเผาเป็นถ่านต่อไป เป็นการลดการเผาในที่โล่งแจ้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยทำเป็นเตาเผาถ่าน ทำน้ำส้มควันไม้ ในช่วงจังหวะเวลาที่อำนวยให้ โดยไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อชุมชน ในแง่ของวิถีชีวิต และการช่วยเหลือชุมชน สวนฯ ทวีชล และ Horizon Village & Resort สร้างงานให้กับชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันกำแพง อำเภอสันทราย นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมหลักสูตรพัฒนาจิต เพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข เป็นการนำปัญญาและสันติสุขมาสู่ตนเองและสังคมประเทศชาติ โดยจัดปีละ 4 ครั้ง สำหรับบุคคลทั่วไปและเยาวชน Zooท่านสามารถให้อาหารสัตว์ด้วยอาหารที่เราเตรียมไว้ ด้วยผักบุ้งปลอดสาร ค่าอาหารแล้วแต่ความเมตตา จะมีใครบังคับก็หาไม่ ท่าเรือเรามีเรือปั่น หรือ จักรยานน้ำให้เช่า เรือปั่น 1 ลำสำหรับ 2 คน ในราคา 60 บาทต่อ 1 ชั่วโมง เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ไม่ควรลงเรือโดยปราศจากผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่นั่งไปด้วย หากท่านใด ไม่ปฏิบัติตามกฎของเรา เจ้าหน้าที่สามารถยึดเรือคืนได้ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบต่ออุบัติเหตุใดๆ ที่เกิดขึ้น
พันธุ์ปาล์ม พันธุ์ปรงพันธุ์ไม้ทนแล้ง เช่น กระบองเพ็ด ไม้อวบน้ำต่างๆ พันธุ์ไม้ดอก เช่น กุหลาบ กล้วยไม้ ชวนชม เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน หน้าวัว เฮลิโคเนีย ดาหลา ขิงแดงพันธุ์สับปะรดสีไม้ใบชนิดต่างๆเช่นอโกลนีม่า ฟิโลเดนดรอน โกสน เฟิร์นชนิดต่างๆ ไม้ดอกตามฤดูกาล จัดทำในรูปแปลง เพื่อนำไปประดับสถานที่ต่างๆ พันธุ์ไม้ทุกชนิด มีการขยายพันธุ์ไว้ทดแทนที่เสียหาย และจัดจำหน่าย ทั้งนี้ได้พยายามติดป้ายชื่อพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ให้ผู้พบเห็นได้ศึกษา ส่วนใหญ่แล้วการเกษตรที่สวนฯ จะเน้นหนักการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมัก ใบไม้ใบหญ้าที่ร่วง จะถูกเก็บเพื่อนำมาหมักทำปุ๋ย สำหรับกิ่งก้านใบปาล์มเรามีเครื่องมือเพื่อหั่นย่อยให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วนำมาหมักด้วยวิธีเติมอากาศทำให้ย่อยสลายเร็วขึ้น กิ่งก้านต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งใบจะถูกนำมาเผาในรูปแบบของการได้ผลิตผลเพื่อนำมาเผาเป็นถ่านต่อไป เป็นการลดการเผาในที่โล่งแจ้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยทำเป็นเตาเผาถ่าน ทำน้ำส้มควันไม้ ในช่วงจังหวะเวลาที่อำนวยให้ โดยไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อชุมชน ในแง่ของวิถีชีวิต และการช่วยเหลือชุมชน สวนฯ ทวีชล และ Horizon Village & Resort สร้างงานให้กับชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันกำแพง อำเภอสันทราย นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมหลักสูตรพัฒนาจิต เพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข เป็นการนำปัญญาและสันติสุขมาสู่ตนเองและสังคมประเทศชาติ โดยจัดปีละ 4 ครั้ง สำหรับบุคคลทั่วไปและเยาวชน Zooท่านสามารถให้อาหารสัตว์ด้วยอาหารที่เราเตรียมไว้ ด้วยผักบุ้งปลอดสาร ค่าอาหารแล้วแต่ความเมตตา จะมีใครบังคับก็หาไม่ ท่าเรือเรามีเรือปั่น หรือ จักรยานน้ำให้เช่า เรือปั่น 1 ลำสำหรับ 2 คน ในราคา 60 บาทต่อ 1 ชั่วโมง เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ไม่ควรลงเรือโดยปราศจากผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่นั่งไปด้วย หากท่านใด ไม่ปฏิบัติตามกฎของเรา เจ้าหน้าที่สามารถยึดเรือคืนได้ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบต่ออุบัติเหตุใดๆ ที่เกิดขึ้น
คลับเฮ้าส์
คลับเฮ้าส์ ประกอบไปด้วยห้องอาหาร ห้องฟิตเนส ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและห้องอาบน้ำ สระ(เกลือ) ว่ายน้ำ 25 เมตร ห้องทานอาหารของพนักงานOur Club house consists of Food center, Fitness room, Changing & Shower room 25 meter.salt swimming pool, Staff canteen
ห้องอาหาร เปิดบริการ 11.30-16.00 น.Food Center, service time 11.30 – 16.00 hrs.
ห้องฟิตเนส เปิดบริการ 9.00 – 16.30 น. สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้นFitness room for adult onlyFee 100 baht
คลับเฮ้าส์ ประกอบไปด้วยห้องอาหาร ห้องฟิตเนส ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและห้องอาบน้ำ สระ(เกลือ) ว่ายน้ำ 25 เมตร ห้องทานอาหารของพนักงานOur Club house consists of Food center, Fitness room, Changing & Shower room 25 meter.salt swimming pool, Staff canteen
ห้องอาหาร เปิดบริการ 11.30-16.00 น.Food Center, service time 11.30 – 16.00 hrs.
ห้องฟิตเนส เปิดบริการ 9.00 – 16.30 น. สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้นFitness room for adult onlyFee 100 baht
Service time 9.00 – 17.00 hrs.
สระว่ายน้ำ เปิดบริการ 9.00 – 17.00 น. Salt swimming pool Service time 9.00 – 17.00 hrs. Fee for adult 130 bahtchild (not taller than 135 centimeter) 70 baht
สระว่ายน้ำ เปิดบริการ 9.00 – 17.00 น. Salt swimming pool Service time 9.00 – 17.00 hrs. Fee for adult 130 bahtchild (not taller than 135 centimeter) 70 baht
ขอบคุณข้อมูลจาก tweecholbotanicgarden.com
เที่ยวปาย

ปาย...อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ความเงียบสงบ ลำน้ำปายสายน้อยที่ไหลเอื่อยผ่านกระต๊อบเล็ก ๆ อันเป็นที่พำนักของนักท่องเที่ยว ภูเขาที่ใหญ่น้อยที่โอบล้อมอำเภอปาย เป็นสเน่ห์ที่ประทับใจนักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้เลือน ในฤดูฝน ริมลำน้ำปายจะดารดาษไปด้วยทุ่งนาข้าวเขียวขจี และเมื่อย่างเข้าฤดูหนาว ทุ่งนาข้าวก็จะแปรเปลี่ยนเป็นไร่กระเทียมที่ทอดตัวยาวไปจรดเชิงเขา ท่ามกลางสายหมอกเย็นระรื่น เมื่อราตรีมาเยี่ยมเยือน ถนนก็เริ่มครึกครื้น
ร้านขายโปสการ์ด hand-made เปิดไฟสีนวลให้ร้านยิ่งน่ารักชวนมอง ชาวดอยต่าง ๆ ก็ปูผ้ากันริมถนนขายสินค้าพื้นเมือง ทั้งย่ามทอมือ ผ้าปักหลากสี เสียงเพลง Ginger Tea แว่วดังขึ้น ชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ก็เข้ามารุมล้อมรถเข็นขายน้ำขิงในกระบอกไม้ไผ่ และรับฟังเพลงน่ารัก ๆ จากปากแม่ค้า ทุกอย่างนี้ล้วนแต่งแต้มสีสันเมืองปายในยามราตรีให้ดูสดใสทุกค่ำคืน แหล่งท่องเที่ยวอีกหลายแห่งในอ.ปาย ไม่ว่าจะเป็น วัดน้ำฮู, วัดพระธาตุแม่เย็น, น้ำตกหมอแปง,สะพานประวัติศาสตร์ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เมืองปายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในใจของผู้มาเยือนเสมอมา ปายเมื่อวันวาน ปาย ... ปี 2539 ทริปนั้นเราเข้ามาเมืองปาย อย่างคนไม่ตั้งใจ จากทริปพิเศษที่ผมพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยว ทุ่งดอกบัวตอง แม่ฮ่องสอน และแผนของเราคืนนั้นคือ ไปนอนที่อุทยาน ฯ ห้วยน้ำดัง แต่เราก็โต๋เต๋กันเพลินจนเดินทางมาถึงปายซะดึก ก็เลยต้องมาค้างที่ ปาย อย่างช่วยไม่ได้ สำหรับคนไทยในตอนนั้น ปายเป็นเพียงแค่เมืองผ่านที่ไม่มีใครรู้จัก กระทั่งไกด์อย่างผมที่เดินทางมาแม่ฮ่องสอนปีละหลาย ๆ ครั้ง ยังรู้จักแค่ร้านอาหารชื่อ สิรินทร์ญา ซึ่งบริษัททัวร์เกือบทั้งหมดตอนนั้น ใช้ทานอาหารเที่ยงเมื่อต้องพาลูกค้ามายังแม่ฮ่องสอน แล้วก็มีร้าน "น้องเบียร์" ที่ "พี่ทม" หัวหน้ากลุ่มรถตู้ระดับบิ๊กในตอนนั้น แนะนำให้รู้จักว่า เป็นร้าน "ข้าวซอย" ที่อร่อยเริ่ดประเสริฐศรีที่สุดในอำเภอปาย ทีเหลือก็เป็นข้อมูลที่ผมจำได้คร่าว ๆ จากหนังสือ อสท. ว่า ที่ "เมืองปาย" แห่งนี้ มีบริการล่องแพยางจากปาย ไปถึงที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วก็มีทัวร์เดินป่าเที่ยวชม 5 หมู่บ้านชาวเขา
ชาวฝรั่งเศสเป็นคนบุกเบิก บลา ๆ ๆ ..... ความรู้สึกของผม ก็ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ในวันนั้นว่า "ปาย" มันก็แค่ทางผ่าน .... แต่สำหรับ"ฝรั่งซำเหมา" แล้ว ปายเปรียบเหมือนดั่งแดนสวรรค์ ที่มีครบทุกสิ่ง ธรรมชาติอันพิสุทธิ์ อากาศเย็นสบายที่แสนจะสดชื่น และบรรยากาศสบาย ๆ แบบ ปาย ปาย .... เพียงก้าวแรกที่ผมย่างลงไปในอำเภอเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "ปาย" นั้น ผมจึงรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังหลงอยู่ในประเทศอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ ประเทศไทย ร้านเหล้าและบาร์เล็ก ๆ เต็มไปด้วยฝรั่งซำเหมา หัวดำที่เห็นมีเพียง พนักงานเสิร์ฟกับเจ้าของร้าน เช่นเดียวกันกับ เกสต์เฮ้าส์เล็ก ๆ ราคาไม่เกิน 200 บาท ที่กระจายรายรอบเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าปายแห่งนี้ ร้านอาหารข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หรือแม้กระทั่งร้านอาหารตามสั่ง มีแต่เมนูภาษาอังกฤษเท่านั้น .... ที่ตอกย้ำความรู้สึกคือ ก่อนกลับเข้าที่พัก ผมพาเพื่อน ๆ ไปกินโรตีหน้าตลาดเช้ากัน มันก็เป็นรถเช็นเล็ก ๆ ขายโรตี 30 ไส้ อย่างที่เคยเห็นกันเป็นประจำ เพื่อนผมเดินไปซื้อก่อนจะกลับมาบอกให้ผมช่วยสั่งให้หน่อย ผมก็งง ๆ ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อได้คุยกับอาบังกับก๊ะห์ และรู้ว่าท้งสองคนพูดภาษาไทยไม่ได้ "English Only" ผมจึงสรุปได้ว่า คนที่จะมาเที่ยวปายต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ในระดับ Meduim ถึง Well-done เท่านั้น กลับจากทริปนั้น "ปาย" เป็นเมืองที่คาใจผมมาก ๆ กับความรู้เดิม ๆ ว่า สถานที่ไหนเป็นที่รู้จักในกลุ่มฝรั่งแบ็คแพค อนาคตจะถูกพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้ผมเริ่มสงสัยว่า อนาคต เมืองปายแห่งนี้ จะเป็นอย่างไร ... และยิ่งมั่นใจว่าอีกไม่นาน เมืองปาย จะไม่ใช่แค่ทางผ่านอีกต่อไปแน่นอน
ชาวฝรั่งเศสเป็นคนบุกเบิก บลา ๆ ๆ ..... ความรู้สึกของผม ก็ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ในวันนั้นว่า "ปาย" มันก็แค่ทางผ่าน .... แต่สำหรับ"ฝรั่งซำเหมา" แล้ว ปายเปรียบเหมือนดั่งแดนสวรรค์ ที่มีครบทุกสิ่ง ธรรมชาติอันพิสุทธิ์ อากาศเย็นสบายที่แสนจะสดชื่น และบรรยากาศสบาย ๆ แบบ ปาย ปาย .... เพียงก้าวแรกที่ผมย่างลงไปในอำเภอเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "ปาย" นั้น ผมจึงรู้สึกเหมือนกับว่า เรากำลังหลงอยู่ในประเทศอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ ประเทศไทย ร้านเหล้าและบาร์เล็ก ๆ เต็มไปด้วยฝรั่งซำเหมา หัวดำที่เห็นมีเพียง พนักงานเสิร์ฟกับเจ้าของร้าน เช่นเดียวกันกับ เกสต์เฮ้าส์เล็ก ๆ ราคาไม่เกิน 200 บาท ที่กระจายรายรอบเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าปายแห่งนี้ ร้านอาหารข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หรือแม้กระทั่งร้านอาหารตามสั่ง มีแต่เมนูภาษาอังกฤษเท่านั้น .... ที่ตอกย้ำความรู้สึกคือ ก่อนกลับเข้าที่พัก ผมพาเพื่อน ๆ ไปกินโรตีหน้าตลาดเช้ากัน มันก็เป็นรถเช็นเล็ก ๆ ขายโรตี 30 ไส้ อย่างที่เคยเห็นกันเป็นประจำ เพื่อนผมเดินไปซื้อก่อนจะกลับมาบอกให้ผมช่วยสั่งให้หน่อย ผมก็งง ๆ ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อได้คุยกับอาบังกับก๊ะห์ และรู้ว่าท้งสองคนพูดภาษาไทยไม่ได้ "English Only" ผมจึงสรุปได้ว่า คนที่จะมาเที่ยวปายต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ในระดับ Meduim ถึง Well-done เท่านั้น กลับจากทริปนั้น "ปาย" เป็นเมืองที่คาใจผมมาก ๆ กับความรู้เดิม ๆ ว่า สถานที่ไหนเป็นที่รู้จักในกลุ่มฝรั่งแบ็คแพค อนาคตจะถูกพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้ผมเริ่มสงสัยว่า อนาคต เมืองปายแห่งนี้ จะเป็นอย่างไร ... และยิ่งมั่นใจว่าอีกไม่นาน เมืองปาย จะไม่ใช่แค่ทางผ่านอีกต่อไปแน่นอน
เที่ยวเชียงราย

ไร่แม่ฟ้าหลวง
"อุทยานแห่งความสงบ งามอย่างล้านนา" ไร่แม่ฟ้าหลวงตั้งอยู่บริเวณพื้นราบทางตะวันตกของตัวเมืองเชียงราย ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ฝึกอบรมเยาวชนชาวเขาจากหมู่บ้านต่างๆ ในภาคเหนือ ปัจจุบันเป็นอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมอันรื่นรมณ์ด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ เหมาะสำหรับผู้แสวงหาความสงบเงียบและแรงบันดาลใจอันเกิดจากธรรมชาติ และสิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น บริเณ 150 ไร่ของไร่แม่ฟ้าหลวงเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ละคร ทั้งยังเหมาะสำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองรูปแบบต่างๆ การประชุมสัมนาหรือการประกอบพิธีกรรมพื้นเมืองเหนือในท่ามกลางบรรยากศอันสงบและศักดิ์สิทธิ์ความเป็นมาของคำว่า
"ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง"ความเป็นมาของคำว่า”ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง” “ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง” เป็นภาษาเนหือโบราณแปลว่า การน้อมคารวะ“แม่ฟ้าหลวง”เป้นคำที่ชาวไทยในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ใช้แทนพระนามของสมเด็ขพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีผู้สันนิษฐานว่าชาวไทยภูเขาได้คำนี้มาจากชาวไทยใหญ่ในตอนใต้ของประเทศจีนที่เรียกเจ้านายของตนเองว่า “เจ้าฟ้า” บางท่านสันนิษฐานว่า พระนามนี้ได้มาจากกาเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรชาวไทยภุเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เฮลิปคอบเตอร์เป็นพระราชพาหนะ เปรียบเสมือนมารดาจากฟากฟ้ามาดูแลบุตร แต่ไม่ว่าคำคำนี้จะมีที่มาจากเหตุใด ก็เป็นพระสัญญานามที่ถวายแด่พระองค์ ท่านด้วยความรัก บูชา และซาบซึ้งในพระเมตตาที่ทรงมีต่อราษฎรในพื้นที่ทรุกันดารเหล่านั้น ประดุจความรักและเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มารดาพึงมีต่อบุตรงานไหว้สาแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นครั้งแรก ตรงกับวันที่ 9 ธันวาคม 2527 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง เนื่องจากในวโรกาสเจริญพระชนมา ยุครบ 7 รอบครั้งที่ 2 จัดเมื่อ
วันที่ 11-12 มกราคม 2529 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง การแสดงเรื่อง “ขุนหลวงวิรังคะ และเอื้องแซะ” ซึ่งเป็นเรื่องราวความเกี่ยวกับพันระหว่างชาวเขาเผ่าลั่วะซึ่งเป็นชาวเขา ที่มีผู้สัมผัสน้อยที่สุดกับคนพื้นราบครั้งที่ 3
จัดเมื่อวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2530 การแสดงเรื่อง “ศิขรินทร์รัญจวน” ณ ไร่แม่ฟ้า หลวงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเมตตาของสมเด็จย่าที่มีต่อตำรวจตระเวนชายแดน และ ครูชนบทที่ไกลคมนาคมครั้งที่ 4 จัดเมื่อ
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2533 การแสดงชุด “ คำหยาดฟ้า” ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง เพื่อ เฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาส
ที่สมเด็จฯทรงเจริญพระชนมายุ 90 พรรษาในปี 2533ครั้งที่ 5 จัดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2535 พิธีไหว้
สาแม่ฟ้าหลวง ณ พระตำหนักดอยตุง ในครั้งนี้ เป็นการนำโบราณราชประเพณีของล้านนาที่มีการจดจำบันทึกไว้มาใช้ โดยอาศัยความ จงรักภักดีและความสามัคคีของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าโครงการศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงและธานาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ริเริ่มโครงการศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านขึ้นมาเพื่อเป็นการปลูกฝังค่านิยมของคนในสังคมปัจจุบัน จะร่วมในการผลักดันให้มรดกทางวัฒนธรรมเหล่านั้นดำรงอยู่สืบไป ธนาคารและมูลนิธิฯ ได้จัดงานศิลปะดนตรีวัฒนธรรมพื้นบ้าน มีจุดหมายที่จะยกย่องและเผยแพร่วัฒนธรรมพื้นบ้าน ไม่ว่าเป็นเรื่องการสันทนาการ อาหาร ภาษาวรรณคดี ความเชื่อถือ ยารักษาโรค ฯลฯ ที่เกิดขึ้นแลสืบเนื่องต่อกันมาหลายชั่วอายุคน งานนี้จะโยกย้ายไปจัดในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเสมือนเครื่องมือเผยแพร่วัฒนธรรมพื้นบ้านอย่างหนึ่ง โดยต้องการให้เห็นความงดงามในความหลากหลายของวัฒนธรรมในประเทศของเรา อันเป็นทางหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีและสามัคคีเป็นอันเดียวกันของคนภายในประเทศ ที่สำคัญคือต้องการให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของคนไทยในภาคต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องลอกเลียนวัฒนธรรมและความคิดของชาติอื่นเสมอไปครั้งแรก จัดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2531 ณ ไร่แม่ฟ้าหลวง “คอนเสิร์ตสุนทรีย์ ดอกไม้บานหวานเพลงเหนือ”โดยศิลปินพื้นบ้าน 7 จังหวัดของภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แพร่ นาน และพิษณุโลก จะได้ร่วมกันแสดงดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นในจังหวัดของตน นำรายได้ขึ้นทูลเกล้าถวายสมเด็ดพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการจัดหาศิลปวัตถุและโบราณวัตถุของภาคเหนือ เพื่อรวบรวมจัดแสดงที่ “หอคำหลวง”ครั้งที่ 2 จัดเมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ 2532 ณ ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ศิลปดนตรีวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน เรื่อง”อาสาบารถ” นำรายได้มอบมูลนิธิ ฯ เพื่อสมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคอีสานและสนันสนุนโครงการอีสานเขียวครั้งที่ 3 จัดเมือวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2534 ณ เกาะยอ จังหวัดสงขลา งานศิลปะวัฒนธรรมและดนตรีพื้นบ้านเรื่อง”ทะเลทิพย์” แสดงที่ศูนย์ทักษิณคดีศึกษาเกาะยอ เป็นการแสดงเกี่ยวตำนานโนราของปักษ์ใต้ ในการแสดงครั้งนี้จะแสดงให้เป็นโนราอย่างโบราณ และอย่างที่ปรับปรุงมีวัฒนาการแล้วครั้งที่ 4 จัดเมือวันที่ 5-8 มกราคม 2535 ณ ศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย งานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านแม่ฟ้าหลวง
หอคำเป็นสถานปัตยกรรมล้านนาซึ่งมีหลังคามุงด้วยแผ่นไม้สัก ชาวเชียงรายร่วมกันสร้างเพื่อ "ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง" ถวายเนื่องในวโรกาที่สมเด็จพระศรีนครินทรืบรมราชชนนีเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2527 อันเป็นฝีมือช่างไม้พื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายและแพร่ ภายในหอคำเป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุและงานพุทธศิลป์ มีทั้งพระพุทธรูปแบบล้านนา และเครื่องไม้แกะสลักที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เช่น สัตภัณฑ์ (เชิงเทียนไม้เก่าแก่) ตุงกระด้าง (ตุงหรือธงไม้) ขันดอก (ภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ) บรรยากาศภายในหอคำศักดิ์และขรึมขลัง ให้ความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก แสงเทียนที่วับแวมอยู่ในความสลัวชวนให้เกิดความปีติจับใจ พระพุทธรูปองค์สำคัญในหอคำ คือ พระพร้าโต้ ซึ่งมีจารึกว่าสร้างในปี พ.ศ. 2236 โดยชาวบ้านซึ่งพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่และยังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการสลักเสลาพระพุทธรูปไม้ให้ประณีตจึงใช้เพียงมีดโต้เป็นเครื่องมือแกะสลัก พระพุทธรูปมีลักษณะแข็งแรง และสง่างามรายละเอียดเพิ่มเติมหอคำแม่ฟ้าหลวง“หอคำแม่ฟ้าหลวง” เป็นเครื่องไหว้สาแม่ฟ้าหลวงในวโรกาสที่พระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา และได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 “หอคำหลวง” เป็นผลงานแห่งความรักความศรัทราของบุคคลหลายหน่วยหลายฝ่าย ซึ่พงยายามสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อันเป็นการเจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน สถาปนิกของหอคำ มีอยู่ คือคุณ ทรงศักดิ์ ทวีเจริญ , คุณครองศักดิ์ จุฬามรกต, คุณเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรีและคุณธีรพล นิยม , คุณมนัส รัตนสัจธรรม และคุณจรูย กมลรัตน์ เป็นวิศวกร นายช่างชลประทานเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโดยใช้ช่างไม้พื่นบ้านจากจัหงวัดเชียงรายและแพร่ เสาไม้ใหญ่และลำไม้สักที่เกิดจากการซอยป่า ได้รับการเอื้อเฟื้อจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ นอกเหนือจากจากไม้ของบ้านเก่า จำนวน 32 หลัง ซึ่งทางมูลนิธิฯ เป็นผู้จัดซื้อ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมช่วยในด้านงานศิลปะตกแต่ง ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านป่างิ้วเป็นเป็นผู้ช่วยดูแลรักษาสาธารณสมบัติอันมีค่าของจังหวัดเชียงรายชิ้นนี้ศิลปวัตถุชิ้นแรกที่นำมาแสดงในโอกาสอันเป้นมงคลยิ่งนี้คือ การแสดงเครื่องสัตภัณฑ์ และพระพุทธรุปไม้สักล้านนาไทยในระวห่างปี พ.ศ. 2529-2530 มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย มีการปรับปรุงเรื่องการไฟฟ้าและคมนาคม ชาวบ้านมีฐานะดีขึ้นโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่มีการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ วัดวาอารามเก่าแก่หลายอห่งถูกรื้อลง เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ตามแบบฉบับสมัยนิยม สัตภัณฑ์หรือแท่นเชิงเทียนถูกย้ายถ่ายเทไปตามที่ต่างๆ มุลนิธิแม่ฟ้าหลวงเห็นควรจะถนอมรักษาศิลปวัตถุที่งดงามนี้ไว้ จึงได้จัดซื้อเครื่องสัตภัณฑ์เหล่านี้มารวบรวมดูแลรักษาไว้ และในขณะเดียวกันก็มีผู้บริจาคสมทบเป็นจำนวนมาก สัตภัณฑ์เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ใช้สอย ช่วยให้เกิดความสว่าง ความสงบ ความสวยงาม และความหวังมาหลายชั่วอายุคนในล้านนา หวังว่าการแสดงสัตภัณฑ์ จะช่วยให้ท่านผู้ชมได้เกิดความรู้สึกที่ดีงามดังกล่าวข้างต้นด้วยพระพุทธรุปไม้สักทองสำตคัญในหอคำหลวง วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ได้มอบให้เป็นสิริมลคลพระพุทธรุปนี้มีพระนานมว่า “พระพร้าใต้” ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2236 กล่าวกันว่าสร้างในสมัยที่บุกเบิกก่อสร้างบ้านเมือง ชาวบ้านซึ่งอพยพเข้าไปตั้งรากฐาน ณ บริเวณใกล้วัดนี้ยังขาดเครื่องมือใช้อันจะประดิดประดอยพระพุทธรุปให้ละเอียดประณีต จึงจำเป็นต้องสร้างพระพุทธรูปนี้โดยใช้มีดขนาดใหญ่หนา พุทธลักษณะจึงปรากฏในลักษณะที่เข้มแข็ง บึกบึน และสง่างาม หวังว่าพระพุทธรุปลักษณะนี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของไร่แม่ฟ้าหลวง ที่พึ่งเริ่มบุกเบิกงาน และมีภาระที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรอีกไม่น้อย คำว่า “หอคำ” ในภาษาพื้นเมืองของเรานั้นหมายถึงที่อยู่ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คำว่า “ คำ” นอกจากจะแปลว่า “ทองคำ”แล้วยังหมายถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่งามอีกด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือแม่ฟ้าหลวงของพวกเราทั้งหลายนั้นทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณชน พระราชกรณียกิจต่างๆหลากหลายและทรงคุณประโยชน์ที่สุดที่จะบรรยาย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงซึ่งอยู่ในพระราชูปถัมภ์ใคร่จะเจริญตามรอยพระบาทองค์ท่าน แทนที่จะสร้างหอคำถวายไว้เป็นของพระองค์ท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับได้แบ่งปันให้เป็นประโยชน์ใช้สอยสำหรับมวลชนโดยทั่วไปหอคำมีโครงสร้างและวัสดุที่ใช้อย่างล้านนาไทย กล่าวคือ แบบหลังค่ได้ความบันดาลในจากวัดในจังหวัดลำปาง ตัวอาหารสอบเข้าเหมือนลักษณะเรือนล้านนาอย่างโบราณ ลวดประดับได้จากจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง วัสดุใช้ไม้จากภาคเหนือทั้งหลังโดยที่มูลนิธิฯซื้อไม้จากไม้เก่าในเขตจังหวัดเชียงราย และพะเยาจำนวน 32 หลัง ไม้เสาใหญ่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากองค์การ อ.อ.ป.หลังคาเป็นหลังคาเก่าของบ้านในชนบท เป็นไม้แผ่นสักกว้างประมาณ 4นิ้ว ซ้อนๆกันซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “แป้นเกล้ด” นายช่างผู้ก่อสร้างเป้นนานช่างจากจังหวัดเชียงรายและจังหวัดแพร่ ช่างแกะสลักได้จากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน วิศกรโครงสร้างเป็นนายช่างจากกรมชลประทานมีไม้แกะสลักรุปสามเหลี่ยมใหญ่อยู่ 5 ชิ้น ในหอคำนี้ซึ่งน่าในใจ ไม้ทั้ง 5 ชิ้นนี้เป็นรูปสัตว์ 5 ชนิด ซึ่งมาจากสัญลักษณ์ปีคล้ายปีประสูติของสมเด็จพระมิคลาธิเบศร อดุลยเดจวิกรม(สมเด็จพระบรมราชนก)และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี,พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมาหาอนันทมหิดล,พระบามสมเด็จพระปรมิรทรหมภูมิพลดอุลยเดช(รัชกาลปัจจุบัน)และสมเด็จพรี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลป์ยานวัฒนาเราได้ประดับไม้แกะสลักทั้ง 5 ชิ้นฝีมือช่างพื้นบ้านนี้ไว้ในที่สูงสุด นอกเหนือไปจาก “หอคำหลวง”แล้ว ทางมูลนิธิยังใช้เวลาและทุนทรัพย์ในการปรับปรุงบริเวณรอบๆหอคำให้สะอาดและรื่นรมย์ให้มีต้นไม้เป็นที่อาศัยของนกกาและมีความสงบเหมาะสมสำหรับเป็นที่เดินเล่นพักผ่อน เชื่อว่าเมืองเชียงรายซึ่งได้รับความเมตตาปราณีจากชาวบ้านเชียงรายโดยตลอดมา จึงเป็นทีน่ายินดีว่ามีโอกาสสร้าง “หอคำหลวง” ขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งของแผ่นดินเชียงรายหอคำน้อยการเดินเล่นในอุทยานแห่งนี้เป็นประสบการณ์พิเศษ ภายในอุทยานมีไม้ป่านานาพันธุ์ มีพระรูปปั้นของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอันเป็นผลงานของคุณมีเซียม ยิบอินซอย มีอาคารศิลาแลงหลังคาแป้นเกล็ดไม้สัก ซึ่งเรียกว่า "หอคำน้อย" เป็นที่เก็บภาพจิตกรรมฝาผนัง เขียนด้วยสีฝุ่นบนกระดานไม้สัก สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยช่างเขียนชาวไทลื้อ ภาพแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย และวัศนธรรมล้านนาเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว
หอคำเป็นสถานปัตยกรรมล้านนาซึ่งมีหลังคามุงด้วยแผ่นไม้สัก ชาวเชียงรายร่วมกันสร้างเพื่อ "ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง" ถวายเนื่องในวโรกาที่สมเด็จพระศรีนครินทรืบรมราชชนนีเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2527 อันเป็นฝีมือช่างไม้พื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายและแพร่ ภายในหอคำเป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุและงานพุทธศิลป์ มีทั้งพระพุทธรูปแบบล้านนา และเครื่องไม้แกะสลักที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เช่น สัตภัณฑ์ (เชิงเทียนไม้เก่าแก่) ตุงกระด้าง (ตุงหรือธงไม้) ขันดอก (ภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ) บรรยากาศภายในหอคำศักดิ์และขรึมขลัง ให้ความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก แสงเทียนที่วับแวมอยู่ในความสลัวชวนให้เกิดความปีติจับใจ พระพุทธรูปองค์สำคัญในหอคำ คือ พระพร้าโต้ ซึ่งมีจารึกว่าสร้างในปี พ.ศ. 2236 โดยชาวบ้านซึ่งพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่และยังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการสลักเสลาพระพุทธรูปไม้ให้ประณีตจึงใช้เพียงมีดโต้เป็นเครื่องมือแกะสลัก พระพุทธรูปมีลักษณะแข็งแรง และสง่างามรายละเอียดเพิ่มเติมหอคำแม่ฟ้าหลวง“หอคำแม่ฟ้าหลวง” เป็นเครื่องไหว้สาแม่ฟ้าหลวงในวโรกาสที่พระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา และได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 “หอคำหลวง” เป็นผลงานแห่งความรักความศรัทราของบุคคลหลายหน่วยหลายฝ่าย ซึ่พงยายามสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อันเป็นการเจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน สถาปนิกของหอคำ มีอยู่ คือคุณ ทรงศักดิ์ ทวีเจริญ , คุณครองศักดิ์ จุฬามรกต, คุณเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรีและคุณธีรพล นิยม , คุณมนัส รัตนสัจธรรม และคุณจรูย กมลรัตน์ เป็นวิศวกร นายช่างชลประทานเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโดยใช้ช่างไม้พื่นบ้านจากจัหงวัดเชียงรายและแพร่ เสาไม้ใหญ่และลำไม้สักที่เกิดจากการซอยป่า ได้รับการเอื้อเฟื้อจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ นอกเหนือจากจากไม้ของบ้านเก่า จำนวน 32 หลัง ซึ่งทางมูลนิธิฯ เป็นผู้จัดซื้อ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมช่วยในด้านงานศิลปะตกแต่ง ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านป่างิ้วเป็นเป็นผู้ช่วยดูแลรักษาสาธารณสมบัติอันมีค่าของจังหวัดเชียงรายชิ้นนี้ศิลปวัตถุชิ้นแรกที่นำมาแสดงในโอกาสอันเป้นมงคลยิ่งนี้คือ การแสดงเครื่องสัตภัณฑ์ และพระพุทธรุปไม้สักล้านนาไทยในระวห่างปี พ.ศ. 2529-2530 มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทย มีการปรับปรุงเรื่องการไฟฟ้าและคมนาคม ชาวบ้านมีฐานะดีขึ้นโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่มีการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ วัดวาอารามเก่าแก่หลายอห่งถูกรื้อลง เพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ตามแบบฉบับสมัยนิยม สัตภัณฑ์หรือแท่นเชิงเทียนถูกย้ายถ่ายเทไปตามที่ต่างๆ มุลนิธิแม่ฟ้าหลวงเห็นควรจะถนอมรักษาศิลปวัตถุที่งดงามนี้ไว้ จึงได้จัดซื้อเครื่องสัตภัณฑ์เหล่านี้มารวบรวมดูแลรักษาไว้ และในขณะเดียวกันก็มีผู้บริจาคสมทบเป็นจำนวนมาก สัตภัณฑ์เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ใช้สอย ช่วยให้เกิดความสว่าง ความสงบ ความสวยงาม และความหวังมาหลายชั่วอายุคนในล้านนา หวังว่าการแสดงสัตภัณฑ์ จะช่วยให้ท่านผู้ชมได้เกิดความรู้สึกที่ดีงามดังกล่าวข้างต้นด้วยพระพุทธรุปไม้สักทองสำตคัญในหอคำหลวง วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ได้มอบให้เป็นสิริมลคลพระพุทธรุปนี้มีพระนานมว่า “พระพร้าใต้” ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2236 กล่าวกันว่าสร้างในสมัยที่บุกเบิกก่อสร้างบ้านเมือง ชาวบ้านซึ่งอพยพเข้าไปตั้งรากฐาน ณ บริเวณใกล้วัดนี้ยังขาดเครื่องมือใช้อันจะประดิดประดอยพระพุทธรุปให้ละเอียดประณีต จึงจำเป็นต้องสร้างพระพุทธรูปนี้โดยใช้มีดขนาดใหญ่หนา พุทธลักษณะจึงปรากฏในลักษณะที่เข้มแข็ง บึกบึน และสง่างาม หวังว่าพระพุทธรุปลักษณะนี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของไร่แม่ฟ้าหลวง ที่พึ่งเริ่มบุกเบิกงาน และมีภาระที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรอีกไม่น้อย คำว่า “หอคำ” ในภาษาพื้นเมืองของเรานั้นหมายถึงที่อยู่ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คำว่า “ คำ” นอกจากจะแปลว่า “ทองคำ”แล้วยังหมายถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่งามอีกด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือแม่ฟ้าหลวงของพวกเราทั้งหลายนั้นทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณชน พระราชกรณียกิจต่างๆหลากหลายและทรงคุณประโยชน์ที่สุดที่จะบรรยาย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงซึ่งอยู่ในพระราชูปถัมภ์ใคร่จะเจริญตามรอยพระบาทองค์ท่าน แทนที่จะสร้างหอคำถวายไว้เป็นของพระองค์ท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับได้แบ่งปันให้เป็นประโยชน์ใช้สอยสำหรับมวลชนโดยทั่วไปหอคำมีโครงสร้างและวัสดุที่ใช้อย่างล้านนาไทย กล่าวคือ แบบหลังค่ได้ความบันดาลในจากวัดในจังหวัดลำปาง ตัวอาหารสอบเข้าเหมือนลักษณะเรือนล้านนาอย่างโบราณ ลวดประดับได้จากจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งเป็นจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง วัสดุใช้ไม้จากภาคเหนือทั้งหลังโดยที่มูลนิธิฯซื้อไม้จากไม้เก่าในเขตจังหวัดเชียงราย และพะเยาจำนวน 32 หลัง ไม้เสาใหญ่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากองค์การ อ.อ.ป.หลังคาเป็นหลังคาเก่าของบ้านในชนบท เป็นไม้แผ่นสักกว้างประมาณ 4นิ้ว ซ้อนๆกันซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “แป้นเกล้ด” นายช่างผู้ก่อสร้างเป้นนานช่างจากจังหวัดเชียงรายและจังหวัดแพร่ ช่างแกะสลักได้จากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน วิศกรโครงสร้างเป็นนายช่างจากกรมชลประทานมีไม้แกะสลักรุปสามเหลี่ยมใหญ่อยู่ 5 ชิ้น ในหอคำนี้ซึ่งน่าในใจ ไม้ทั้ง 5 ชิ้นนี้เป็นรูปสัตว์ 5 ชนิด ซึ่งมาจากสัญลักษณ์ปีคล้ายปีประสูติของสมเด็จพระมิคลาธิเบศร อดุลยเดจวิกรม(สมเด็จพระบรมราชนก)และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี,พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมาหาอนันทมหิดล,พระบามสมเด็จพระปรมิรทรหมภูมิพลดอุลยเดช(รัชกาลปัจจุบัน)และสมเด็จพรี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลป์ยานวัฒนาเราได้ประดับไม้แกะสลักทั้ง 5 ชิ้นฝีมือช่างพื้นบ้านนี้ไว้ในที่สูงสุด นอกเหนือไปจาก “หอคำหลวง”แล้ว ทางมูลนิธิยังใช้เวลาและทุนทรัพย์ในการปรับปรุงบริเวณรอบๆหอคำให้สะอาดและรื่นรมย์ให้มีต้นไม้เป็นที่อาศัยของนกกาและมีความสงบเหมาะสมสำหรับเป็นที่เดินเล่นพักผ่อน เชื่อว่าเมืองเชียงรายซึ่งได้รับความเมตตาปราณีจากชาวบ้านเชียงรายโดยตลอดมา จึงเป็นทีน่ายินดีว่ามีโอกาสสร้าง “หอคำหลวง” ขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งของแผ่นดินเชียงรายหอคำน้อยการเดินเล่นในอุทยานแห่งนี้เป็นประสบการณ์พิเศษ ภายในอุทยานมีไม้ป่านานาพันธุ์ มีพระรูปปั้นของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอันเป็นผลงานของคุณมีเซียม ยิบอินซอย มีอาคารศิลาแลงหลังคาแป้นเกล็ดไม้สัก ซึ่งเรียกว่า "หอคำน้อย" เป็นที่เก็บภาพจิตกรรมฝาผนัง เขียนด้วยสีฝุ่นบนกระดานไม้สัก สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยช่างเขียนชาวไทลื้อ ภาพแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย และวัศนธรรมล้านนาเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว
รายละเอียดเพิ่มเติม“หอคำน้อย” ซึ่งเป้นที่เก็บจิตรกรรมภาพวาดบนแผ่นไม้สักจากเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ และวันเฉลิมฉลอง “หอคำน้อย” ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม 2535มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงเห็นว่าศสิลปะเหล่านี้เป็ยของแผ่นดิน มมิได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง ดดยเฉาะมูลนิฯ มีความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสเป็นผู้ดูแลรักษาเพื่อสาธารณชนหอแก้วจากหอคำน้อย เมื่อเดินผ่านป่าสมุนไพรไปทางทิศใต้ จะพบอาคารหลังใหญ่ คือ “หอแก้ว” ซึ่งมีพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรม เช่น การประชุมสัมมนา จัดเลี้ยง ฯลฯ มีระเบียงยื่นลงไปในสระว่ายน้ำกว้างใหญ่ เหมาะแก่การสังสรรค์อันรื่นรมณ์ และปลอดโปร่งใจ อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการเกี่ยวกับไม้สัก ทั้งในด้านพฤกษศาสตร์ และในด้านเป็นวัสดุอันเลื่องชื่อสำหรับสร้างสรรค์งานศิลปะรายละเอียดเพิ่มเติมหอแก้วอาคารสถาปัตนกรรมล้านนาประยุกต์ขนาดใหญ่ สร้างเสร็จเมื่ออปี พ.ศ. 2544 ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรม เช่น การประชุมสัมมนา จัดเลี้ยงฯลฯ มีระเบียงยื่นลงไปสระน้ำกว้างใหญ่เหมาะแก่การสังสรรค์ค์อันเรื่นรมย์แลละปลอดโปร่งใจ อีกส่วนหนึ่งเป้ฯพื้นที่จัดนิทรรศการ ซึ่งขณะนี้ได้จัดนิทรรศกาถาวรเรื่อง “ไม้สัก” และนิทรรศการเรื่องหมุ่นเวียน “หอคำในอาณาจักรล้านนา”“นิทรรศการภาพถ่ายหอคำ” ประกอบด้วยภาพหอคำและวิถีชีวิตในคุ้มหลวงของล้านนาโบราณซึ่งตามขบนธรรมเนียมในอดีต ถือได้ว่าหอคำเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองที่สำคัญ เป็นไปตามความเชื่อหลักศาสนา โหราศาสตร์ และมีความสำคัญต่อสังคม จากภาพถ่ายที่จัดแสดงจึงได้ปรากฏความเจริญของสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากการเมืองตลอดเวลา นิทรรศการเริ่มต้นด้วยรูปแบบโครงสร้างของหอคำที่ได้รับอิทธิพลศิลปะพม่าซึ่งได้แผ่ขยายไปทั่ว โดยจัดแสดงภาพหมู่พระมหามณเฑียรแห่งเมืองมัณฑเลย์ภาพถ่ายของหอคำในภาคเหนือของไทย อันประกอบไปด้วย หอคำเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน ข้ามแม่น้ำโขงไปยังลาวตอนบน จะพบหอคำหลวงพระบางและเมืองสิง จบลงด้วยภาพหอคำในเชียงตุง ยองห้วย และแสนหวีในรัฐแน ประเทศพม่า
สำนักงานกรุงเทพฯโทร. 02-252 7114 โทรสาร. 02-2541665อีเมล์ tourism@doitung.org
**เปิดทุกวันเวลา 08.00-18.00 น.(ยกเวันวันจันทร์) ค่าเข้าชมคนไทย 150 บาท ต่างชาติ 200 บาท
**เปิดทุกวันเวลา 08.00-18.00 น.(ยกเวันวันจันทร์) ค่าเข้าชมคนไทย 150 บาท ต่างชาติ 200 บาท
เที่ยวเชียงราย

วัดร่องขุ่น
ตั้งอยู่ที่บ้านร่องขุ่น ประมาณหลังกิโลเมตรที่ 817 บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 อันที่เป็นเส้นทางสายหลักสู่เชียงราย ทางเข้าวัดบริเวณทางแยกซ้ายเข้าไปประมาณ 200 เมตร เดิมทีวัดนี้มีอยู่แล้วแต่ก็ได้รับบูรณะใหม่โดยอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ โดยได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่เป็นพระอุโบสถสีขาวคล้ายกับโบสถ์ขาวต้นแบบที่วัดมิ่งเมือง จ. น่าน ซึ่งออกแบบสร้างตามจินตนาการของท่านเจ้าอาวาส และผลงานลวดลายปูนปั้นโดย สล่าเสาร์แก้ว เลาดี ช่างพื้นบ้านเมืองน่าน สกุลช่างเชียงแสนโบราณ สำหรับพระอุโบสถวัดร่องขุ่นเป็นโบสถ์สีขาวทั้งหลังสร้างด้วยศิลปะตามจินตนาการของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ช่วยกันสร้างโดยลูกศิษย์ฝีมือดีของอาจารย์ ศิลปะมีความปราณีตสวยงาม บนลวดลายปูนปั้นถูกประดับประดาไปด้วยกระจกสีเงินแวววาว เมื่อโบสถ์ต้องแสงอาทิตย์จะมีประกายระยิบระยับงดงามมาก ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนผาผนังฝีมือของอาจารย์เฉลิมชัย โบสถ์ขาวหลังนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2541 ตัวโบสถ์เสร็จสมบูรณ์ เหลือแต่การตกแต่งภายนอก ภายในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ภาพเขียนของอาจารย์เฉลิมชัย ซึ่งมีห้องแสดงภาพและจำหน่ายภาพเพื่อนำมาเป็นทุนในการสร้างโบสถ์วัดร่อง
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
8 สูตรมาร์สหน้าผลไม้

เพราะเรารู้กันดีว่าของสดๆ จากธรรมชาติ ไม่ว่าจาก ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้หลายๆ ชนิดมีสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิว และเสี่ยงต่อการแพ้ได้น้อย เราจึงสามารถนำของสดๆ มาพอกบำรุงผิวหน้ากันโดยตรงกันได้เลย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น และมอบสารอาหารให้ซึบซาบลงสู่ผิวชั้นนอก ขับให้ผิวสวย นุ่มเนียนทันทีหลังล้างออก แต่ก่อนลงมือคว้าของดีจากตู้เย็นมาปรุงสูตรมาสก์หน้า ขอแนะนำสักนิดว่า ก่อนอื่นควรดูสภาพผิวของเราเองก่อนอื่นใด ว่ามีสภาพผิวแบบไหน และมีประวัติแพ้อะไรมาบ้าง จากนั้นจึงเลือกผลไม้ที่เหมาะกับผิวเราจริงๆ อาทิเช่น คนที่ผิวแห้ง ก็ควรเลือกอาหารผิวที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว ในขณะที่คนผิวมันควรเลือกอาหารผิวที่ให้ความตึงกระชับ และมีรสเปรี้ยวนิดๆ หรือคนมีสิว มีรอยแผลเป็น ก็ควรเลือกสารสกัดที่มีกรดธรรมชาติในการลดเลือนรอยสิวให้จางลงพร้อมการบำรุงที่ดีไปในตัว นอกจากนี้ การเลือกส่วนผสมในการมาสก์หน้าที่เข้ากันได้ก็สำคัญไม่น้อยเลย อย่าลืมเชียวว่า แม้การปรุงสูตรสวยสไตล์ธรรมชาติๆ อย่างนี้จะไม่มีข้อจำกัดมากมายนัก แต่ก็ควรเลือกชนิดที่เข้ากัน และมีปฏิกิริยาทางเคมีที่ส่งเสริมกันด้วย หรือถ้าให้ง่ายเข้า ก็ลองพกสูตรที่เรานำมาฝากไปปรุงสวยกันก่อน งานนี้คงมีสักสูตรที่โดนใจเป็นแน่ เพราะ 10 สูตรเหล่านี้ ไม่ลองไม่ได้เลย ง่ายๆ แค่บดแล้วนำมาผสมกัน ก็นำไปพอกบนหน้าสะอาดๆ ได้เลย
1. แตงกวาบด + โยเกิร์ต (หรือนม)
อยากมีผิวนุ่มๆ ต้องสูตรนี้เลย เน้นว่าเอาแตงกวาปอกเปลือกก่อนแล้วสับละเอียด ผสมโยเกิร์ตแบบที่
ไม่มีรสสักนิด ผิวจะได้ชุ่มชื่นทันที
2. มะขามเปียก + น้ำผึ้ง
สูตรนี้อาจเติมน้ำผึ้งมากหน่อย เพราะมะขามเปียกมีความเป็นกรดรรมชาติสูง สูตรนี้ช่วยให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติได้เลย
3. แอปเปิ้ลบด + น้ำผึ้ง
กินแอปเปิลแล้วผิวสวย และยังดีต่อผิวด้วย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย สูตรนี้ใช้ได้กับทุกผิว
4. กล้วยบด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง
ใครผิวมันขอแนะนำ เพราะกล้วยบดดีจริงๆ กับการควบคุมความมัน ใช้แล้วผิวนุ่มจนสัมผัสได้
5. มะละกอ + ฟักทอง + น้ำผึ้ง
สูตรนี้ให้กลิ่นหอมสดชื่นมากๆ มะละกอและฟักทองบดยังช่วยเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ผิวได้โดยตรง
6. มะเขือเทศ + มะนาว + น้ำผึ้ง
วิตามินเพียบ สูตรนี้กระชับผิวนี้ใช้ได้ทุกสภาพผิวจริงๆ แถมในมะเขือเทศยังมีไลโคปีน ที่ดีต่อการลดฝ้าได้ด้วย
7. ผงขมิ้น + ดินสอพอง + มะนาว
สูตรไทยแท้ๆ ที่นอกจากผิวจะเนียนสวยขึ้นด้วยขมิ้น ก็ยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการลดสิวได้ดีอีกด้วย
8. ว่านหางจระเข้ + โยเกิร์ต
ปรับผิวให้ขาวใส ชุ่มชื่น หอมนุ่มได้เลย เพราะว่านหางจระเข้นั้นดีกับผิวแห้ง ผิวมีสิว และผิวคล้ำแดดที่สุด
2. มะขามเปียก + น้ำผึ้ง
สูตรนี้อาจเติมน้ำผึ้งมากหน่อย เพราะมะขามเปียกมีความเป็นกรดรรมชาติสูง สูตรนี้ช่วยให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติได้เลย
3. แอปเปิ้ลบด + น้ำผึ้ง
กินแอปเปิลแล้วผิวสวย และยังดีต่อผิวด้วย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย สูตรนี้ใช้ได้กับทุกผิว
4. กล้วยบด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง
ใครผิวมันขอแนะนำ เพราะกล้วยบดดีจริงๆ กับการควบคุมความมัน ใช้แล้วผิวนุ่มจนสัมผัสได้
5. มะละกอ + ฟักทอง + น้ำผึ้ง
สูตรนี้ให้กลิ่นหอมสดชื่นมากๆ มะละกอและฟักทองบดยังช่วยเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ผิวได้โดยตรง
6. มะเขือเทศ + มะนาว + น้ำผึ้ง
วิตามินเพียบ สูตรนี้กระชับผิวนี้ใช้ได้ทุกสภาพผิวจริงๆ แถมในมะเขือเทศยังมีไลโคปีน ที่ดีต่อการลดฝ้าได้ด้วย
7. ผงขมิ้น + ดินสอพอง + มะนาว
สูตรไทยแท้ๆ ที่นอกจากผิวจะเนียนสวยขึ้นด้วยขมิ้น ก็ยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการลดสิวได้ดีอีกด้วย
8. ว่านหางจระเข้ + โยเกิร์ต
ปรับผิวให้ขาวใส ชุ่มชื่น หอมนุ่มได้เลย เพราะว่านหางจระเข้นั้นดีกับผิวแห้ง ผิวมีสิว และผิวคล้ำแดดที่สุด
ขอขอบคุณ ข้อมูลจากผลิตภัณฑ์สบายอารมณ์ อ่านไอเดียแนวทางธรรมชาติได้ทุกวันที่
www.sabai-arom.com
เคล็ดลับรักษาสิวในแบบชีวจิต

เคล็ดลับรักษาสิวในแบบชีวจิต
เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ...5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิตเกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้องไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลายควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป
2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
หน้าใสด้วยผลไม้

สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
สูตรกระชับรูขุมขน
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
เคล็ดลับที่ควรคำนึงถึง
ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ
ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ
เรียบเรียงโดย ... เยาวลักษณ์ พิพัฒน์จำเริญกุล
สูตรเด็ด 11 เคล็ดลับหน้าใส

สูตรเด็ด 11 เคล็ดลับหน้าใส ยุคนี้สมัยนี้เทรนด์หน้าใสกำลังมาแรงไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรืออายุจะล่วงเลยวัยกระเตาะมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ใครบ้างล่ะอยากแก่แถมใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่น หากไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยและคงความหน้าใสให้ยาวนานที่สุดวันนี้เรามี 11 เคล็ดลับวิชาหน้าใสมาฝากกันดังนี้
1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มากนัก ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานอย่างไม่หยุดพักถึงใจยังสู้แต่สังขารอาจไม่ไหว นอนแต่หัวค่ำดีกว่า
2. ดื่มน้ำมากๆให้ได้วันละ 6 8 แก้ว หรือหากคุณดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ยิ่งจะดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและกัดกระเพาะจนคุณปวดท้องได้
3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆแค่พูดว่า อา อี เอ โอ อู ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้า หน้าจะได้ไม่เหี่่ยวย่น
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ถ้าใครเถียงหละก็... ขอท้าให้คุณสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่าคุณกับเพื่อนใครแก่กว่ากัน
5. อย่าตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัว หากต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน
6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียวหนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับอุณหภูมิบ้างเถอะค่ะ
7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้า
ของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิว เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียดและแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกดวงจันทร์ทั้งหลาย
8. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษควรใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม
9. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน จำไว้ว่างทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงานหรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆมาตลอดทั้งวันและการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นได้
10. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย ให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิวให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้
11. หากมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน
6 อาหารเพื่อฟันสวย

นอกจากการแปรงฟัน งดกินอาหารจำพวกของหวานแล้ว 6 อาหารเหล่านี้ คือ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ฟันแข็งแรงทนทาน
1. แอปเปิ้ล รสหวานลิ้น ไม่เหนียว ช่วยเรียกน้ำลายได้ดี เพราะน้ำลายคือ กลไกธรรมชาติที่ร่างกายใช้ชะล้างเศษอาหารและปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในปาก
2. แครอท ความกรอบจะช่วยให้เหงือกสะอาดและฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดเศษอาหาร มีเส้นใยช่วยให้ปากสะอาด ช่วยเรียกน้ำลาย
3. แครนเบอร์รี่ มีสารประกอบที่สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดฟัน และสกัดกั้นการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์
4. กีวี เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อความงาม มีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงฟัน
5. ลูกเกด คืออาหารที่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ในชิคาโก สหรัฐอเมริกาพบว่า มีกรดโอเลียโนอิก ซึ่งเป็นสารพฤษเคมีที่การทดลองในห้องแล็ปพบว่า ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก โดยกรดโอเลียนิกที่ความเข้มข้น 31 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เอส.มิวแทนส์ไม่ให้เกาะผิวฟัน และที่ความเข้มข้น 62 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อพอร์ฟีโรโมนาส กิงกิแวลิส อันเป็นตัวการสำคัญของโรคเหงือกอักเสบ
6. วาซาบิ ซึ่งจากผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า วาซาบิมีสารไอโซธิโอเซียเนต ซึ่งยับยั้งการเติบโตของเชื้อ เอส.มิวแทนส์
ที่มาจาก ชีวจิต
1. แอปเปิ้ล รสหวานลิ้น ไม่เหนียว ช่วยเรียกน้ำลายได้ดี เพราะน้ำลายคือ กลไกธรรมชาติที่ร่างกายใช้ชะล้างเศษอาหารและปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในปาก
2. แครอท ความกรอบจะช่วยให้เหงือกสะอาดและฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดเศษอาหาร มีเส้นใยช่วยให้ปากสะอาด ช่วยเรียกน้ำลาย
3. แครนเบอร์รี่ มีสารประกอบที่สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดฟัน และสกัดกั้นการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์
4. กีวี เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อความงาม มีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงฟัน
5. ลูกเกด คืออาหารที่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ในชิคาโก สหรัฐอเมริกาพบว่า มีกรดโอเลียโนอิก ซึ่งเป็นสารพฤษเคมีที่การทดลองในห้องแล็ปพบว่า ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก โดยกรดโอเลียนิกที่ความเข้มข้น 31 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เอส.มิวแทนส์ไม่ให้เกาะผิวฟัน และที่ความเข้มข้น 62 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อพอร์ฟีโรโมนาส กิงกิแวลิส อันเป็นตัวการสำคัญของโรคเหงือกอักเสบ
6. วาซาบิ ซึ่งจากผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า วาซาบิมีสารไอโซธิโอเซียเนต ซึ่งยับยั้งการเติบโตของเชื้อ เอส.มิวแทนส์
ที่มาจาก ชีวจิต
เคล็ดลับหุ่นดี กับ จุ๋ย

กินแบบสาวสุขภาพดี
สาวสวยสุขภาพดีแบบจุ๋ย วรัทยา นิลคูหา มาบอกวิธีการกินที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์และไม่ยากเลยค่ะ หากคุณจะกินแบบเธอ
สาวสวยสุขภาพดีแบบจุ๋ย วรัทยา นิลคูหา มาบอกวิธีการกินที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์และไม่ยากเลยค่ะ หากคุณจะกินแบบเธอ
กินมาก ไม่กินบ้าง
“จุ๋ยเป็นคนอ้วนง่าย เมื่อก่อนกินจังก์ฟู้ด ของทอดของมัน ตอนเด็กๆ อยากกินอะไรกินก็กินหมดเลย เพราะระบบเผาผลาญที่ดีอยู่แล้ว แต่พออายุเกิน 20 ก็จะเริ่มเห็นเซลลูไลท์ เลยหันมากินผักให้มากขึ้น ใครบอกว่าผักที่ไหนอร่อยสดก็จะไปหามากินเลย อย่างผักออร์แกนิกส์ และสวนผักน้ำอาหารจานโปรดจะเป็นสลัดทูน่า และซีซาร์สลัด แต่ไม่เอาผงชีส ขนมปังกรอบ และเบคอน แล้วก็เน้นกินปลาค่ะ แรกๆ ทำใจไม่ได้เพราะรู้สึกว่ากินหมูกินไก่อร่อยกว่า ก็จะกินปลาทอด หลังๆ มาก็กินปลานึ่ง อย่างปลานึ่งมะนาว เพราะเป็นคนอ้วนง่าย จุ๋ยต้องรักษาสุขภาพและความงามควบคู่กัน”
“กินให้หลากหลายแต่ลดปริมาณลง เพื่อให้ร่างกายไม่ต้องชินกับการย่อยอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไป จุ๋ยว่าร่างกายเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์นะ มีความจำ ถ้าไม่กินเลยก็จะย่อยไม่ได้ เพียงแต่เราพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เช่น ประเภทคาร์โบไฮเดรต จุ๋ยเลือกข้าวกล้อง ถ้าบางคนไม่ชินกับข้าวกล้องก็ผสมข้าวขาวก่อน และบางประเภทที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายก็กินให้น้อย หรือเลี่ยงไปเลย คือ น้ำมัน กับน้ำตาล”
“จุ๋ยเป็นคนอ้วนง่าย เมื่อก่อนกินจังก์ฟู้ด ของทอดของมัน ตอนเด็กๆ อยากกินอะไรกินก็กินหมดเลย เพราะระบบเผาผลาญที่ดีอยู่แล้ว แต่พออายุเกิน 20 ก็จะเริ่มเห็นเซลลูไลท์ เลยหันมากินผักให้มากขึ้น ใครบอกว่าผักที่ไหนอร่อยสดก็จะไปหามากินเลย อย่างผักออร์แกนิกส์ และสวนผักน้ำอาหารจานโปรดจะเป็นสลัดทูน่า และซีซาร์สลัด แต่ไม่เอาผงชีส ขนมปังกรอบ และเบคอน แล้วก็เน้นกินปลาค่ะ แรกๆ ทำใจไม่ได้เพราะรู้สึกว่ากินหมูกินไก่อร่อยกว่า ก็จะกินปลาทอด หลังๆ มาก็กินปลานึ่ง อย่างปลานึ่งมะนาว เพราะเป็นคนอ้วนง่าย จุ๋ยต้องรักษาสุขภาพและความงามควบคู่กัน”
“กินให้หลากหลายแต่ลดปริมาณลง เพื่อให้ร่างกายไม่ต้องชินกับการย่อยอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไป จุ๋ยว่าร่างกายเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์นะ มีความจำ ถ้าไม่กินเลยก็จะย่อยไม่ได้ เพียงแต่เราพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เช่น ประเภทคาร์โบไฮเดรต จุ๋ยเลือกข้าวกล้อง ถ้าบางคนไม่ชินกับข้าวกล้องก็ผสมข้าวขาวก่อน และบางประเภทที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายก็กินให้น้อย หรือเลี่ยงไปเลย คือ น้ำมัน กับน้ำตาล”
โยเกิร์ต...ตัวช่วยสบายท้อง
ตัวช่วยที่ดีที่ทำให้ระบบการย่อยและระบบขับถ่ายของเธอดีขึ้น ก็คือการกินโยเกิต
“อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เข้าห้องน้ำได้ดีคือโยเกิต จุ๋ยกินประจำ ชอบกินรสธรรมชาติกับรสสตอเบอรี่เป็นพิเศษ จะมีมีติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ ไม่ต่ำกว่า 10 ถ้วย เวลาซื้อก็จะดูจำนวนกิโลแคลอรี่ พยายามไม่ให้เกิน 1500 กิโลแคลอรี่ และดูวันเดือนปีที่ผลิตกับวันหมดอายุด้วย กินแล้วช่วยย่อย และเพิ่มจุลินทรีย์บางชนิดเข้าไป ถ้ากินก่อนข้าวจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น หรือทานข้าวไปแล้ว ถ้าไม่อยากกินมากเกินไป แต่ยังไม่อิ่มก็กินโยเกิตตาม จะอิ่มพอดี แต่ไม่แนะนำให้กินแทนข้าวเพื่อลดความอ้วน เพราะไม่นานก็จะกลับมาอ้วนอีกเพราะร่างกายต้องการสารอาหารอื่นด้วย”
ดื่มน้ำเพื่อท้องและผิว
นอกจากนี้การดื่มน้ำให้มากขึ้นยังทำให้ปัญหาสุขภาพของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง รวมถึงผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้น
“จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำเลย แต่ตอนนี้คุณแม่บอกว่าดื่มน้ำสำคัญมาก จุ๋ยเลยดื่มน้ำให้มากขึ้น ตอนตื่นนอนดื่ม 2 แก้ว ก่อนนอนดื่มครึ่งขวด 500 มิลลิลิตร และดื่มอีกระหว่างวัน ซึ่งรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และผิวก็ดีขึ้นด้วย ไม่หมอง สดใส และหน้าตาดูสดชื่น เพราะร่างกายเรามีน้ำเพียงพอ”
กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น กินอาหารให้หลากหลายโดยลดปริมาณบางอย่างลง กินโยเกิร์ต และดื่มน้ำให้มากขึ้น (ในกรณีที่มีนิสัยดื่มน้ำน้อย) กินแบบนี้...ในเร็ววันนี้เป็นสาวสุขภาพดีแบบคุณจุ๋ยแน่นอนค่ะ
Startip : คุณจุ๋ยบอกเคล็ดลับการกินที่ไม่อ้วน และดีต่อกระเพาะว่า “เมื่อก่อนจุ๋ยกินเร็วมาก ทำให้กินเยอะ เพราะกระเพาะยังไม่สั่งงานให้รู้อิ่ม และปวดท้องเพราะกระเพาะย่อยไม่ทัน แต่ตอนนี้กินช้าลง ถ้าเราค่อยๆ กินให้ช้า กระเพาะจะมีระยะเวลาสั่งสมองว่าอิ่มแล้ว และไม่ทำงานหนักมากเกินไป ย่อยอาหารได้ดี”
ขอบคุณเนื้อหาดีดีจาก ชีวจิตonline
ตัวช่วยที่ดีที่ทำให้ระบบการย่อยและระบบขับถ่ายของเธอดีขึ้น ก็คือการกินโยเกิต
“อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เข้าห้องน้ำได้ดีคือโยเกิต จุ๋ยกินประจำ ชอบกินรสธรรมชาติกับรสสตอเบอรี่เป็นพิเศษ จะมีมีติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ ไม่ต่ำกว่า 10 ถ้วย เวลาซื้อก็จะดูจำนวนกิโลแคลอรี่ พยายามไม่ให้เกิน 1500 กิโลแคลอรี่ และดูวันเดือนปีที่ผลิตกับวันหมดอายุด้วย กินแล้วช่วยย่อย และเพิ่มจุลินทรีย์บางชนิดเข้าไป ถ้ากินก่อนข้าวจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น หรือทานข้าวไปแล้ว ถ้าไม่อยากกินมากเกินไป แต่ยังไม่อิ่มก็กินโยเกิตตาม จะอิ่มพอดี แต่ไม่แนะนำให้กินแทนข้าวเพื่อลดความอ้วน เพราะไม่นานก็จะกลับมาอ้วนอีกเพราะร่างกายต้องการสารอาหารอื่นด้วย”
ดื่มน้ำเพื่อท้องและผิว
นอกจากนี้การดื่มน้ำให้มากขึ้นยังทำให้ปัญหาสุขภาพของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง รวมถึงผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้น
“จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำเลย แต่ตอนนี้คุณแม่บอกว่าดื่มน้ำสำคัญมาก จุ๋ยเลยดื่มน้ำให้มากขึ้น ตอนตื่นนอนดื่ม 2 แก้ว ก่อนนอนดื่มครึ่งขวด 500 มิลลิลิตร และดื่มอีกระหว่างวัน ซึ่งรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และผิวก็ดีขึ้นด้วย ไม่หมอง สดใส และหน้าตาดูสดชื่น เพราะร่างกายเรามีน้ำเพียงพอ”
กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น กินอาหารให้หลากหลายโดยลดปริมาณบางอย่างลง กินโยเกิร์ต และดื่มน้ำให้มากขึ้น (ในกรณีที่มีนิสัยดื่มน้ำน้อย) กินแบบนี้...ในเร็ววันนี้เป็นสาวสุขภาพดีแบบคุณจุ๋ยแน่นอนค่ะ
Startip : คุณจุ๋ยบอกเคล็ดลับการกินที่ไม่อ้วน และดีต่อกระเพาะว่า “เมื่อก่อนจุ๋ยกินเร็วมาก ทำให้กินเยอะ เพราะกระเพาะยังไม่สั่งงานให้รู้อิ่ม และปวดท้องเพราะกระเพาะย่อยไม่ทัน แต่ตอนนี้กินช้าลง ถ้าเราค่อยๆ กินให้ช้า กระเพาะจะมีระยะเวลาสั่งสมองว่าอิ่มแล้ว และไม่ทำงานหนักมากเกินไป ย่อยอาหารได้ดี”
ขอบคุณเนื้อหาดีดีจาก ชีวจิตonline
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสคืออะไรพริมโรส (Primrose) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในลาตินอเมริกา เป็นพืชในเขตหนาว ลำต้นสูง มีดอกสีเหลืองกลีบบาง ลักษณะของดอกจะเป็นก้านและดอกจะมีลักษณะแผ่กว้าง ในฝักของดอกพริมโรส (Primrose) จะมีเมล็ดสีน้ำตาล และมีน้ำมันชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ออยส์ (Evening Primrose Oil) อยู่ในเมล็ด ซึ่งน้ำมันดังกล่าวนี้มีสารประกอบสำคัญ คือ กรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Essential Fatty Acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ชนิดโอเมก้า 6 ได้แก่ กรดไลโนเลอิก
(Linoleic – LA) และกรดแกมมาไลโนเลนิก
(Gamma Linolenic acid – GLA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) มีคุณสมบัติในการป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง และมีน้ำมีนวล LA ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็น GLA โดยเอนไซม์
6-Desaturase ซึ่ง GLA นี้เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย ตลอดจนป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิ ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ความดันดลหิตสูง บรรเทาอาการแทรกซ้อนจากโรค เบาหวาน และที่สำคัญที่สุด คือ รักษาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน ประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจาก การที่ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส อุดมไปด้วย GLA ทำให้มันมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษา โดยจะเปลี่ยนรูปเป็น พรอสตาแกลนดิน ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนในการช่วยให้หน้าที่ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบที่ดีด้วย น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสต่ออาการปวดประจำเดือนและอาการก่อนและหลังประจำ เดือนอาการที่เกิดขึ้นร่วมกันกับการมีประจำเดือน อันได้แก่ อาการปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย วิงเวียนศรีษะ ปวดหลัง รวมถึงอาการคัดหน้าอก เป็นอาการที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก เป็นผลจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป ทำให้ไขมันถูกเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้นในเนื้อเยื่อมดลูก ส่งผลให้มดลูกบีบตัวมากกว่าปกติ ทำให้อาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือนเกิดขึ้น นอกจากนี้กรดไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนโปรแลคตินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการคัดหน้าอก และทำให้เลือดออกมาก เป็นผลให้เพิ่มการบีบตัวของเลือดในมดลูก ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ฮอร์โมนโปรแลคตินยังทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดศรีษะ ปวดหลัง ปวดเมื่อยรวมถึงอาการอ่อนเพลียขณะมีประจำเดือน
การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน อาการก่อนและหลังประจำเดือน อาการคัดหน้าอก ลงได้ โดยต้องบริโภคทุกวัน ไม่ใช่บริโภคเฉพาะในขณะที่เป็นประจำเดือน เพราะร่างกายต้องการเวลาในการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) เพื่อให้ช่วยลดอาการปวดให้ลดลง
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ตามปกติ เยื่อบุมดลูกอยู่ในโพรงของมดลูกเป็นเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อระดับของฮอร์โมน เพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เมื่อถึงรอบเดือนเยื่อบุมดลูกจะหนาตัวขึ้น เพราะถูกฮอร์โมนเพศกระตุ้นแต่พอฮอร์โมนเพศลดระดับลง เยื่อบุมดลูกจะสลายตัวออกจากโพรงมดลูก หลุดออกมาเป็นประจำเดือนเมี่อออกมาหมดแล้ว และมีฮอร์โมนเพศมากระตุ้นอีก เยื่อบุมดลูกจะหนาขึ้นเหมือนเดิม และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นประจำเดือนของเดือนถัดไป
แต่ ในบางครั้งเยื่อบุมดลูกเกิดอยู่ผิดที่ กล่าวคือ ไม่อยู่ในโพรงมดลูก แต่กลับไปอยู่ที่ รังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ดังนั้น เมื่อฮอร์โมนเพศมีระดับสูง เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่จะหนาขึ้น และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นเลือด แต่เลือดที่ออกมานี้จะระบายออกมาทางช่องคลอดเช่นเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรง มดลูกไม่ได้ เลือดที่ออกมาจะถูกขังอยู่เป็นถุงน้ำหรือซีสต์ ในรังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ซึ่งถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัด ดังนั้นกรดไขมันจำเป็น ซึ่งก็คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ที่มีอยู่ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจึงมีบทบาทต่อโรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ เป็นอย่างมาก กล่าวคือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก ถูกเอาไปสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) สามารถบรรเทาอาการอักเสบของก้อนเนื้อได้ ทำให้อาการปวดลดลง
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรค ไขข้ออักเสบไขข้ออาจมีโอกาสอักเสบได้ เนื่องจากการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้ว ที่ทำงานหนัก แต่การซ่อมสร้างต้องกระทำอย่างรวดเร็ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมสร้างอาการอักเสบของข้อต่างๆของร่างกายนั้นลดน้อยลง จึงเกิดอาการอักเสบและมีอาการปวดข้อในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ยังมีโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคไขข้ออักเสบหลายๆข้อทั่วร่างกาย เกิดจากภูมิต้านทานไวเกินและมาทำร้ายเนื้อเยื่อของไขข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์นี้ จะมีระดับพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1– PGE1) ที่รักษาอาการอักเสบต่ำมาก
การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน อาการก่อนและหลังประจำเดือน อาการคัดหน้าอก ลงได้ โดยต้องบริโภคทุกวัน ไม่ใช่บริโภคเฉพาะในขณะที่เป็นประจำเดือน เพราะร่างกายต้องการเวลาในการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) เพื่อให้ช่วยลดอาการปวดให้ลดลง
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ตามปกติ เยื่อบุมดลูกอยู่ในโพรงของมดลูกเป็นเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อระดับของฮอร์โมน เพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เมื่อถึงรอบเดือนเยื่อบุมดลูกจะหนาตัวขึ้น เพราะถูกฮอร์โมนเพศกระตุ้นแต่พอฮอร์โมนเพศลดระดับลง เยื่อบุมดลูกจะสลายตัวออกจากโพรงมดลูก หลุดออกมาเป็นประจำเดือนเมี่อออกมาหมดแล้ว และมีฮอร์โมนเพศมากระตุ้นอีก เยื่อบุมดลูกจะหนาขึ้นเหมือนเดิม และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นประจำเดือนของเดือนถัดไป
แต่ ในบางครั้งเยื่อบุมดลูกเกิดอยู่ผิดที่ กล่าวคือ ไม่อยู่ในโพรงมดลูก แต่กลับไปอยู่ที่ รังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ดังนั้น เมื่อฮอร์โมนเพศมีระดับสูง เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่จะหนาขึ้น และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นเลือด แต่เลือดที่ออกมานี้จะระบายออกมาทางช่องคลอดเช่นเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรง มดลูกไม่ได้ เลือดที่ออกมาจะถูกขังอยู่เป็นถุงน้ำหรือซีสต์ ในรังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ซึ่งถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัด ดังนั้นกรดไขมันจำเป็น ซึ่งก็คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ที่มีอยู่ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจึงมีบทบาทต่อโรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ เป็นอย่างมาก กล่าวคือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก ถูกเอาไปสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) สามารถบรรเทาอาการอักเสบของก้อนเนื้อได้ ทำให้อาการปวดลดลง
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรค ไขข้ออักเสบไขข้ออาจมีโอกาสอักเสบได้ เนื่องจากการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้ว ที่ทำงานหนัก แต่การซ่อมสร้างต้องกระทำอย่างรวดเร็ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมสร้างอาการอักเสบของข้อต่างๆของร่างกายนั้นลดน้อยลง จึงเกิดอาการอักเสบและมีอาการปวดข้อในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ยังมีโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคไขข้ออักเสบหลายๆข้อทั่วร่างกาย เกิดจากภูมิต้านทานไวเกินและมาทำร้ายเนื้อเยื่อของไขข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์นี้ จะมีระดับพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1– PGE1) ที่รักษาอาการอักเสบต่ำมาก
แต่มีระดับพรอสตาแกลนดิน 2 ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบและจ็บปวดมากกว่าปกติ โดยปกติการรักษาอาการอักเสบของข้อเป็นหน้าที่ของพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งมีอยู่ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำหน้าที่คอยบรรเทาอาการอักเสบและอาการบวมรอบข้อลงได้
จากการ ศึกษาทดลองใช้ในผู้ป่วยเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้ผลลดอาการปวดและอักเสบตามไขข้อได้ดีกว่ายาหลอกอย่างชัดเจน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคเบา หวานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการเซลประสาทถูกทำลายจากโรค เบาหวาน จากการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า GLA ใน อีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ และในบางรายยังสามารถทำให้เซลประสาทคืนกลับมาเหมือนเดิมได้ด้วย อาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) นั้นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรค เบาหวาน จากการศึกษาที่นานนับปี มีผลวิจัยออกมาว่าอาการชาตามปลายประสาท อาการเจ็บปวดแปลบๆ และอาการสูญเสียความรู้สึกในผู้ป่วย เบาหวาน จะลดน้อยลงจากชัดเจนในรายที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทาน
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับปัญหา โรคอื่นๆ-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผื่นแพ้และกลากน้ำนมผู้ ที่มีอาการของผื่นแพ้ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นกลากน้ำนม ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดกรดไลโนเลอิก
จากการ ศึกษาทดลองใช้ในผู้ป่วยเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้ผลลดอาการปวดและอักเสบตามไขข้อได้ดีกว่ายาหลอกอย่างชัดเจน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคเบา หวานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการเซลประสาทถูกทำลายจากโรค เบาหวาน จากการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า GLA ใน อีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ และในบางรายยังสามารถทำให้เซลประสาทคืนกลับมาเหมือนเดิมได้ด้วย อาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) นั้นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรค เบาหวาน จากการศึกษาที่นานนับปี มีผลวิจัยออกมาว่าอาการชาตามปลายประสาท อาการเจ็บปวดแปลบๆ และอาการสูญเสียความรู้สึกในผู้ป่วย เบาหวาน จะลดน้อยลงจากชัดเจนในรายที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทาน
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับปัญหา โรคอื่นๆ-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผื่นแพ้และกลากน้ำนมผู้ ที่มีอาการของผื่นแพ้ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นกลากน้ำนม ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดกรดไลโนเลอิก
(Linoleic – LA) ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ได้ หรือถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนได้น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากขาดเอนไซม์ในปฏิกิริยาชีวเคมีบางชนิด
หากเด็กจำเป็นต้องกิน นมวัวและทำให้เกิดกลากน้ำนม เนื่องจากในนมวัวมีกรดไขมันชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ซึ่งเด็กส่วนหนึ่งไม่มีเอนไซม์บางตัว จึงไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันดังกล่าวให้เป็นพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) แบบนมแม่ได้ จึงเกิดอาการแพ้ขึ้น ดังนั้น น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จึงช่วยลดอาการแพ้นี้ได้ โดยการทาที่ผิวหนังเพื่อให้น้ำมันซึมผ่านเข้าไป
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับผิวพรรณช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้กลับดูนุ่มนวลสดใส ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการโรคเรื้อนกวาง (eczema) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการลดลงสามารถปริมาณการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ลงไป
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคความดันโลหิตสูงโรคของหลอดเลือดอันเกิดจาก ไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสียความยืดหยุ่น แรงดันเลือดในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นจากความแข็งของเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดเพิ่มแรงต้านทานในการไหลของหลอดเลือดจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ กล่าวคือ จะต้องออกแรงบีบไล่เลือดไปตามหลอดเลือดที่แข็งตัวแรงกว่าเดิม เป็นเหตุให้ความดันโลหิตเพิ่มตาม
กรดไขมันจำเป็น คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถลดความดันโลหิตลงได้
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคหัวใจโรคหัวใจ เกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด หลอดเลือดมีขนาดรูแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอและเกิดอาการแน่นหน้าอก ปวดในหน้าอก จนกระทั่งหัวใจวายได้ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีกรดโอเมก้า 6 ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน ป้องกันไม่ให้เกิดตะกอนของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคไตผู้ป่วยที่ป่วยเป็น โรคไต บางรายที่กินยาบางตัว หรือได้รับสารพิษบางตัว ซึ่งสารเคมีดังกล่าว มักจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) แล้วทำให้ไตเสียตามมา การบริโภคกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 ชนิด GLA จะสามารถถนอมรักษาไตให้คงสภาพปกติได้นานเนื่องจากการบริโภคน้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรสเข้าไป จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ได้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถแก้ไขความเสียหายของไตที่เกิดขึ้น
หากเด็กจำเป็นต้องกิน นมวัวและทำให้เกิดกลากน้ำนม เนื่องจากในนมวัวมีกรดไขมันชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ซึ่งเด็กส่วนหนึ่งไม่มีเอนไซม์บางตัว จึงไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันดังกล่าวให้เป็นพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) แบบนมแม่ได้ จึงเกิดอาการแพ้ขึ้น ดังนั้น น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จึงช่วยลดอาการแพ้นี้ได้ โดยการทาที่ผิวหนังเพื่อให้น้ำมันซึมผ่านเข้าไป
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับผิวพรรณช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้กลับดูนุ่มนวลสดใส ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการโรคเรื้อนกวาง (eczema) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการลดลงสามารถปริมาณการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ลงไป
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคความดันโลหิตสูงโรคของหลอดเลือดอันเกิดจาก ไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสียความยืดหยุ่น แรงดันเลือดในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นจากความแข็งของเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดเพิ่มแรงต้านทานในการไหลของหลอดเลือดจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ กล่าวคือ จะต้องออกแรงบีบไล่เลือดไปตามหลอดเลือดที่แข็งตัวแรงกว่าเดิม เป็นเหตุให้ความดันโลหิตเพิ่มตาม
กรดไขมันจำเป็น คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถลดความดันโลหิตลงได้
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคหัวใจโรคหัวใจ เกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด หลอดเลือดมีขนาดรูแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอและเกิดอาการแน่นหน้าอก ปวดในหน้าอก จนกระทั่งหัวใจวายได้ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีกรดโอเมก้า 6 ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน ป้องกันไม่ให้เกิดตะกอนของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคไตผู้ป่วยที่ป่วยเป็น โรคไต บางรายที่กินยาบางตัว หรือได้รับสารพิษบางตัว ซึ่งสารเคมีดังกล่าว มักจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) แล้วทำให้ไตเสียตามมา การบริโภคกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 ชนิด GLA จะสามารถถนอมรักษาไตให้คงสภาพปกติได้นานเนื่องจากการบริโภคน้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรสเข้าไป จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ได้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถแก้ไขความเสียหายของไตที่เกิดขึ้น
ให้กลับคืนสู่ปกติได้
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคจิตใจโรคจิตเภท (Schizophrenia) เกิดขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติทางชีวเคมีในสมองของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการทางสมอง คือ ควบคุมตนเองไม่ได้ ซึมเศร้า ทำอะไรไม่รู้ตัว ประสาทหลอน ซึ่งอาการดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจเป็นเพราะร่างการขาดกรดไขมันจำเป็น ชนิด กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) และมีฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ไม่เพียงพอรวมทั้งยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) น้อยกว่าปกติ ดังนั้น การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำให้เพิ่มกรดไขมันจำเป็น ส่งผลให้ลดอาการทางจิตใจได้
-น้ำมันอี ฟนิ่งพริมโรส กับ โรคอัลไซเมอร์โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ มีอาการหลงลืม โดยสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับปัจจุบันไป แต่สามารถจำอดีตได้ การที่ผู้สูงอายุสูญเสียความทรงจำไปนี้เพราะขาดกรดไขมันจำเป็น ผลก็คือ เม็ดเลือดแดงจะมีเยื่อหุ้มเซลล์แข็งขึ้นกว่าเดิม ทำให้จับออกซิเจนได้ลดลง เป็นผลให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการหลงลืม การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เข้าไป สามารถเพิ่มกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) จะทำให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่สภาพปกติ กล่าวคือ สมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น อาการดังกล่าวข้างต้นก็จะทุเลาลง
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรค ไข้หวัดหลังจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ร่างกายจะอ่อนเพลียเสมอ ทั้งนี้เพราะการติดเชื้อหวัดจะกระทบต่อการดูดซึมกรดไขมันจำเป็นชนิดกรดไลโน เลอิก (Linoleic – LA) เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังยับยั้งการเปลี่ยนกรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ไม่ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) อีกด้วยในขณะที่เป็นหวัด ร่างกายจึงขาดกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 6 อย่างรุนแรงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และเกิดอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ซึ่งการบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการหวัดลงได้
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคตับเรื้อรังผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง จะมีกรดไขมันจำเป็นในเลือดผิดปกติ โดยมีกรดชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) สูงผิดปกติ แต่เมตาโบไลต์ชนิดอื่นในปฏิกิริยาเคมีอยู่ในระดับต่ำ แสดงว่าร่างกายของผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังไม่สามารถเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ให้กลายเป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ดังนั้นฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) จึงมีระดับต่ำ ทำให้โรคตับมีอาการกำเริบขึ้น เพราะภูมิต้านทานจะต่ำลง อาการอักเสบมีมากขึ้น เม็ดเลือดขาวทำงานไม่ดี การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการโรคตับลงได้
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละ วันปริมาณที่แนะนำของจำนวนของกรดไขมัน GLA ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้น คือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นปริมาณที่แนะนำของ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สำหรับรักษาอาการต่างคือ รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเทียบเท่ากับปริมาณ GLA 240 มิลลิกรัมตามที่ต้องต่อวัน
สำหรับผู้ป่วย เบาหวาน: ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ ครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทาน น้ำมันปลา (Fish Oil) อีกครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
ข้อแนะนำในการรับประทาน
-รับ ประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส พร้อมอาหารเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
-เพื่อให้ได้ผลดี ในการใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน ดังนั้นเพื่อให้ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เปลี่ยนเป็น GLA ได้ดีควรรับประทานร่วมกับ Multivitamin (ควรจะประกอบไปด้วย zinc, vitamin C, vitamin B-complex vitamins และ magnesium)
-ในรายที่ต้องการผลด้าน ผิวหนัง ผม และเล็บ อาจจะต้องใช้เวลา 2-6 เดือนกว่าจะเห็นผล
อาการข้างเคียงถึงแม้ว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้คุณประโยชน์ มากมาย แต่สำหรับผู้บริโภคบางรายที่รับประทานเข้าไปแล้ว อาจจะเกิดอาการข้างเคียงได้ อาทิ
-อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ
-อาการ ปวดศรีษะ
-อาการผื่นแพ้
-อาการลมชักกำเริบ
ในยุค ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวจากการกินเนื้อสัตว์ นม ช็อกโกแลตมากเกินไป จนกระทั่งกรดไขมันอิ่มตัวเข้าไปแทนที่กรดไขมันจำเป็น ทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 6 ไม่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล และช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นจึงควรบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) เป็น กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีในที่สุด
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคจิตใจโรคจิตเภท (Schizophrenia) เกิดขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติทางชีวเคมีในสมองของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการทางสมอง คือ ควบคุมตนเองไม่ได้ ซึมเศร้า ทำอะไรไม่รู้ตัว ประสาทหลอน ซึ่งอาการดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจเป็นเพราะร่างการขาดกรดไขมันจำเป็น ชนิด กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) และมีฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ไม่เพียงพอรวมทั้งยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) น้อยกว่าปกติ ดังนั้น การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำให้เพิ่มกรดไขมันจำเป็น ส่งผลให้ลดอาการทางจิตใจได้
-น้ำมันอี ฟนิ่งพริมโรส กับ โรคอัลไซเมอร์โรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ มีอาการหลงลืม โดยสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับปัจจุบันไป แต่สามารถจำอดีตได้ การที่ผู้สูงอายุสูญเสียความทรงจำไปนี้เพราะขาดกรดไขมันจำเป็น ผลก็คือ เม็ดเลือดแดงจะมีเยื่อหุ้มเซลล์แข็งขึ้นกว่าเดิม ทำให้จับออกซิเจนได้ลดลง เป็นผลให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการหลงลืม การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เข้าไป สามารถเพิ่มกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) จะทำให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่สภาพปกติ กล่าวคือ สมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น อาการดังกล่าวข้างต้นก็จะทุเลาลง
-น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรค ไข้หวัดหลังจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ร่างกายจะอ่อนเพลียเสมอ ทั้งนี้เพราะการติดเชื้อหวัดจะกระทบต่อการดูดซึมกรดไขมันจำเป็นชนิดกรดไลโน เลอิก (Linoleic – LA) เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังยับยั้งการเปลี่ยนกรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ไม่ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) อีกด้วยในขณะที่เป็นหวัด ร่างกายจึงขาดกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 6 อย่างรุนแรงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และเกิดอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ซึ่งการบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการหวัดลงได้
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคตับเรื้อรังผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง จะมีกรดไขมันจำเป็นในเลือดผิดปกติ โดยมีกรดชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) สูงผิดปกติ แต่เมตาโบไลต์ชนิดอื่นในปฏิกิริยาเคมีอยู่ในระดับต่ำ แสดงว่าร่างกายของผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังไม่สามารถเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) ให้กลายเป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ดังนั้นฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) จึงมีระดับต่ำ ทำให้โรคตับมีอาการกำเริบขึ้น เพราะภูมิต้านทานจะต่ำลง อาการอักเสบมีมากขึ้น เม็ดเลือดขาวทำงานไม่ดี การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการโรคตับลงได้
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละ วันปริมาณที่แนะนำของจำนวนของกรดไขมัน GLA ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้น คือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นปริมาณที่แนะนำของ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สำหรับรักษาอาการต่างคือ รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเทียบเท่ากับปริมาณ GLA 240 มิลลิกรัมตามที่ต้องต่อวัน
สำหรับผู้ป่วย เบาหวาน: ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ ครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทาน น้ำมันปลา (Fish Oil) อีกครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
ข้อแนะนำในการรับประทาน
-รับ ประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส พร้อมอาหารเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
-เพื่อให้ได้ผลดี ในการใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน ดังนั้นเพื่อให้ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เปลี่ยนเป็น GLA ได้ดีควรรับประทานร่วมกับ Multivitamin (ควรจะประกอบไปด้วย zinc, vitamin C, vitamin B-complex vitamins และ magnesium)
-ในรายที่ต้องการผลด้าน ผิวหนัง ผม และเล็บ อาจจะต้องใช้เวลา 2-6 เดือนกว่าจะเห็นผล
อาการข้างเคียงถึงแม้ว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้คุณประโยชน์ มากมาย แต่สำหรับผู้บริโภคบางรายที่รับประทานเข้าไปแล้ว อาจจะเกิดอาการข้างเคียงได้ อาทิ
-อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ
-อาการ ปวดศรีษะ
-อาการผื่นแพ้
-อาการลมชักกำเริบ
ในยุค ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวจากการกินเนื้อสัตว์ นม ช็อกโกแลตมากเกินไป จนกระทั่งกรดไขมันอิ่มตัวเข้าไปแทนที่กรดไขมันจำเป็น ทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 6 ไม่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล และช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นจึงควรบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic – LA) เป็น กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีในที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เคล็ดลับสุขภาพดีด้วย 18 วิธีง่ายๆ

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ
สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิวควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติกเพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวมถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีนเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตรายใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้าแสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น 14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่นถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศสำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหารสำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกมถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
สบาย ๆ กับรอบเดือน (Momypedia)

ทริกง่าย ๆ เวลาถึงวันนั้นของเดือน ที่สาว ๆ ควรรู้ไว้
1. ถ้าต้องการลดอาการต่าง ๆ ก่อนมีประจำเดือนลง เช่นอารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า และปวดท้อง ด้วยการกินแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมทุกวัน
2. หนึ่งในวิธีลดอาการคือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียง
แต่จะลดอาการ มันยังช่วยลดความเครียดลดความเสี่ยงต่อโรค หัวใจและมะเร็ง
3. ผู้หญิงที่เจ็บหน้าอกลดได้ด้วยการกินวิตามินอี 600 ทุกวัน วิตามินอีป้องกันผลจาก
3. ผู้หญิงที่เจ็บหน้าอกลดได้ด้วยการกินวิตามินอี 600 ทุกวัน วิตามินอีป้องกันผลจาก
หลอดหัวใจ (cardiovascular) อาจจะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้บ้าง
4. เปลี่ยนการกินอาหาร กินผัก กินอาหารไขมันต่ำ ลดการกินน้ำตาล เกลือ เนื้อแดง
4. เปลี่ยนการกินอาหาร กินผัก กินอาหารไขมันต่ำ ลดการกินน้ำตาล เกลือ เนื้อแดง
แอลกอฮอล์ คาเฟอีน กินแป้งจากพืชหลากชนิด ข้าวโพด ข้าวกล้อง
มัน กินผักใบเขียว ผลไม้ ซีเรียลที่ไม่ใช้แป้งขัดขาวจะช่วยได้
5. คนที่อยากกินของหวาน ๆ ในช่วงวันนั้น พบว่าดีขึ้นด้วยการกินแมกนีเซียม 300-500 มิลลิกรัมช่วยลดอาการอกคัดตึง
6. ผู้หญิงบางคนลดอาการด้วยการกินวิตามินบี 6 ทุกวัน แต่ถ้ากินมากไปอาจทำให้มึนได้
6. ผู้หญิงบางคนลดอาการด้วยการกินวิตามินบี 6 ทุกวัน แต่ถ้ากินมากไปอาจทำให้มึนได้
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เคล็ดลับหน้าใสด้วยส้ม

วิธีทำ
1. เพื่อนหาส้มมา 1-2 ผล แล้วล้างส้มให้สะอาด
2. ปอกเปลือกส้มแล้วแกะเมล็ดออกให้หมด เราก็จะได้ส้มเป็นกลีบๆ พอแกะออกเรียบร้อย
3.นำกลีบส้มมาแปะบนใบหน้า อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ ผิวจะได้ดูดซึมได้ดีๆ
4. แปะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเป็นอันเรียบร้อย
5. เสร็จแล้วก็ใช้น้ำสะอาดล้างหน้าอีกที ควรทำเป็นประจำอาทิตย์ละ 1-2 ก็ได้ค่ะ
แค่นี้เพื่อนก็จะมีผิวหน้าสวยใสได้แล้วจ๊ะ เพราะในส้มจะมีวิตามินซีอยู่มากมาย ซึ่งเจ้าวิตามินซีเนี่ยจะช่วยให้ผิวหน้าเรากระจ่างใสได้
ได้เคล็ดลับเด็ดๆแล้วอย่าลืมไปลองทำดูนะจ๊ะ ได้ผลยังไงมาบอกกันด้วยน๊า......
มารู้จักเบต้าแคโรทีนกันเถอะ

เมื่อพูดถึง เบต้าแคโรทีน บางคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? เบต้าแคโรทีน คือสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตาในเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่นเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและพบว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการนำเบต้าแคโรทีนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายชนิด โดยจะผสมวิตามินและเกลือแร่ชนิดอื่นหลายชนิดเข้าไปด้วยเพื่อบำรุงร่างกาย
เบต้าแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เพราะ
เบต้าแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เพราะ
เบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผักและผลไม้มีสีสันดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง
สำหรับปริมาณในการรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล (IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่ควรรับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น คือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้
เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณอย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย
นอกจากเบต้าแคโรทีน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิดพรรณของคนเราแล้ว มันยังสามารถทำอันตรายกับตัวเราได้เช่นกัน เนื่องจาก เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการจะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกันข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ดังนั้นการบริโภคเบต้าแคโรทีนที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ขณะที่การรับประทานอาหารแบบธรรมชาติทั่วไป เช่น มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป
ที่มา: วารสารสุขสาระ ฉบับที่ 58
สำหรับปริมาณในการรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล (IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่ควรรับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น คือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้
เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณอย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย
นอกจากเบต้าแคโรทีน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิดพรรณของคนเราแล้ว มันยังสามารถทำอันตรายกับตัวเราได้เช่นกัน เนื่องจาก เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการจะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกันข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ดังนั้นการบริโภคเบต้าแคโรทีนที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ขณะที่การรับประทานอาหารแบบธรรมชาติทั่วไป เช่น มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป
ที่มา: วารสารสุขสาระ ฉบับที่ 58
สารสกัดเมล็ดองุ่นป้องกันความชราได้จิงหรือ?

“ความชรา” มัจจุราชเงียบที่แฝงอยู่ในตัวเราอย่างที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากพานพบ แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะเป็นวัฏจักรความเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติที่พกพาเอาโรคต่างๆ ตามมาด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ปวดข้อ ปวดเข่า นอนไม่หลับ ต้อกระจก โรคอ้วน ฯลฯ
สาเหตุของความชราที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ คือ “ฟรีแรดดิคอล” (Free Radical) หรือ “อนุมูลอิสระ” ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาขณะที่เรามีชีวิตจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) คล้ายๆ กับการเกิดสนิมในเนื้อเหล็ก หรือการที่ปอกแอปเปิลทิ้งไว้ในอากาศ แล้วพบว่าเนื้อแอปเปิลจะมีสีดำ แต่ถ้าแช่แอปเปิลที่ปอกแล้วในน้ำมะนาวก็จะไม่ดำ เนื่องจากวิตามินซีในน้ำมะนาวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ “แอนตี้ออกซิแดนท์” นั่นเอง สารก่ออนุมูลอิสระที่มีผลต่อร่างการเรามีอยู่ทั่วไป ทั้งในน้ำ อากาศ อาหาร ฝุ่น ควัน หรือแม้แต่แสงแดด สารมี ผงซักฟอก ซึ่ง ดร.เจฟรีย์ แบลนด์ (Jeffery Bland) นักเคมีและนักโภชนศาสตร์ พบว่า ผลกระทบที่เกิดจากอนุมูลอิสระทำให้เกิดโรคกว่า 60 ชนิด คือ โรคภูมิแพ้ ปวดข้อ ข้อเข่าเสื่อม ต้อกระจก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในหลอดเลือด โรคหัวใจขาดเลือด ต่อมลูกหมากโต ความเหี่ยวย่นของผิว ฯลฯ ยังเป็นโชคดีของมนุษย์ที่อาหารในธรรมชาติ เช่น พืช ผักผลไม้ ที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบันมี “พฤกษเคมี” ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ เช่น พวกวิตามิน เกลือแร่ สารเฟลโวนอยด์ ฯลฯ ที่ร่างกายต้องการ แม้ในปริมาณไม่มากนัก แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งได้แก่ กลุ่มวิตามิน เช่น วิตามินเอ ซี อี ซีลีเนียม สารมีแดง คาร์โรตินอยด์ ในพืชพักผลไม้ เช่น แครอท มะละกอ ฯลฯ และแหล่งใหญ่ที่มีสร้างต้านอนุมูลอิสระมากอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ สารกลุ่มเฟลโวนอยด์ที่พบมากในเมล็ดและเปลือกขององุ่น มีสารเฟลโวนอยด์(Flavonoid) ที่เรียกว่า “โปรแอนโธไซยานิดิน” สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของ “โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน” (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆ ว่า OPC มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและมากกว่าวิตามินอีถึง 20 และ 50 เท่าตามลำดับ บางทีเรียกกันว่า “ซูเปอร์แอนติออกซิแดนท์” (Superantioxidant) สารสกัดเมล็ดองุ่น หรือ OPC นี้ยังพบในเปลือกต้นมะนาว ถั่วลิสง เชอรี่ เปลือกส้ม เปลือกและเมล็ดองุ่น (สีแดงจะมีมากกว่า) ในประเทศทางยุโรป เช่น ฝรั่งเศสจะใช้สารสกัด OPC จากเมล็ดองุ่นและเปลือกต้นสนที่อุดมด้วยวิตามินซีมาใช้เป็นยารักษาโรค และในสหรัฐอเมริกา สารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ติดอันดับ 1 ใน 10 ยาสมุนไพรที่ขายดีที่สุด จากการวิจัยของ นพ.คล๊าก แฮนเซน พบว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ลดอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซีและอี นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างเสริมสารคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผวิหนังแข็งแรงและยังลดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และในระยะหลังๆ ตั้งแต่ปี 1980 พบว่า มีการใช้สารกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์ที่เป็นสารสกัดเมล็ดองุ่นในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอยเปราะ และใช้รักษาเบาหวานขึ้นตาและจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยังอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ ลดภูมแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย การเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ต้องดูปริมาณของสารออกฤทธิ์ เพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า คือ ควรมีปริมาณสาร OPC สูงประมาณ 92-95% ขนาดที่ใช้ในการรักษาสุขภาพ คือ วันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่ในกรณีที่ใช้บำบัดโรค ต้องใช้ขนาดสูงถึงวันละ 150-300 มิลลิกรัม ตามปกติร่างกายของเราจะมีการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น พืชผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที โดยเลือกชนิดตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ เช่น เดินเร็ว แอโรบิก ฯลฯ และหลีกเหลี่ยงสารพิษ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ อยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจผ่องใส ไม่เครียด ไม่อิจฉาริษยา ฯลฯ ก็เป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงจากอนุมูลอิสระที่ทำให้ท่านแก่ก่อนวัยอันควรได้ ซึ่งการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายคุณจะสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ได้ แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะแก่เร็ว เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ทานอาหารหวาน และไขมันสูง ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย อยู่ที่แออัด ขาดสุขลักษณะ มีมลภาวะของอากาศสูง ผู้สูงอายุที่มีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ มีระบบการย่อยอาหารไม่ดี ฯลฯ ท่านก็ควรพยายามลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ข้างต้นโดยกรเสริมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี อี เอ ซีลีเนียม เช่น ส้ม มะเขือเทศ แครอท มะนาว กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลน ก็จะเป็นการดีที่สุด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ใครๆ มาว่าให้ท่านช้ำใจว่า “แก่เกินวัย” หรือถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการตัดสินใจ เพื่อผลคุ้มค่าที่ท่านจะได้รับ
ที่มา thaifitway
Posted by : EZ-Friends
Posted by : EZ-Friends
วิตามินEกับสิว

วิตามินอี ช่วยป้องกันสิวอักเสบได้อย่างไร
วิตามินอีเป็นวิตามินที่หากขาดไปก็ไม่ได้ทำให้เป็นโรคใด ๆ แต่จำนวนเล็กน้อยของวิตามินอีนั้นให้ประโยชน์สูงแก่ระบบภูมิคุ้มกันในการต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องเยื่อบุผิวจากการถูกทำลาย ขัดขวางการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในคนที่เป็นสิว ดังนั้นการรับประทานวิตามินอีจึงมีส่วนช่วยให้อาการสิวดีขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นวิตามินตัวหนึ่งในร่างกายที่ทำงานหนักมาก ช่วยปกป้องเส้นประสาท ปอด และหัวใจจากการถูกทำลายจากปฎิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ หน้าที่เหล่านี้สำคัญมาก และยังช่วยให้อาการสิวหมดไปได้
รูปแบบของวิตามินอีมีทั้งหมด 8 ชนิด แบบที่ให้ผลต่อร่างกายดีมากที่สุดคือ อัลฟ่า-โทโคฟีรอล
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิวกับวิตามินอี
สิวที่เกิดขึ้นก็มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือสภาพแวดล้อม วิตามินอีช่วยป้องกันสิวโดยการต้านอนุมูลอิสระ มีหลาย ๆ คลินิกที่ได้ตรวจสอบหาความกระจ่างของความสัมพันธ์ระหว่างสิวกับวิตามินอี ตัวอย่างเช่น Journal of Investigative Dermatology ได้ศึกษาว่าวิตามินอีช่วยป้องกันการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขนจากการหมักหมมและจับตัวเป็นก้อน เป็นโอกาสน้อยที่จะอักเสบ อย่างไรก็ดีวิตามินอีสามารถซึมเข้าถึงชั้นผิว ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้รูขุมขนไม่อุดด้วยน้ำมัน โดยวิตามินอีสามารถทำให้น้ำมันไหลออกชั้นผิวภายนอกได้ ทำให้น้ำมันไม่อุดตัน จึงไม่เกิดสิว ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบระดับวิตามินอีในเลือด โดยอาสาสมัคร 100 คน ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี พบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูงกว่าไม่ค่อยเป็นสิว จากการค้นพบดังกล่าว และการทดสอบ ทำให้สรุปได้ว่าระดับวิตามินอีในเลือดต่ำมีโอกาสเป็นสิวได้มาก
ขนาดรับประทาน
ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)
ทั่วไปเข้าใจว่าได้รับปริมาณวิตามินอีเพียงพอจากอาหารต่าง ๆ ผู้ที่ควบคุมอาหาร หรือมีปัญหาลำไส้ทำงานไม่ปกติ ก็อาจต้องการอาหารเสริม ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวันมีหน่วยที่เรียกว่า Alpha-tocopherol Equivalent (ATE) ซึ่งเสมือนกับค่า Internation Units (IU) ที่ฉลากอาหารเสริมนิยมใช้กัน ตามค่าที่กล่าวข้างต้น 1 มิลลิกรัม ATE = 1.5 IU
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถใช้ได้ที่ปริมาณสูงสุดต่อวันคือ 1,000 มิลลิกรัม (หรือ 1,500 IU) แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)
เด็กอายุ 9-13 ปี ที่ 11 มิลลิกรัมต่อวัน (16.5 IU) ไม่ควรเกิน 600 มก. (900 IU)
เด็กอายุ 14-18 ปี รับที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.5 IU) ไม่ควรเกิน 800 มก. (1,200 IU)
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
ผลข้างเคียงและคำเตือน
มีรายงานว่าการใช้วิตามินอีในปริมาณสูงเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตในอัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้วิตามินอีต่อเนื่องเป็นประจำควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณสูง ในการใช้ระยะสั้น ๆ นั้นปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่กำหนด อย่างไรก็ดี วิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายได้หากกินในปริมาณมากเกินกำหนด การรับวิตามินอีทางอาหารนั้นก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประโยชน์เช่นกัน
การตอบสนองของผิวเช่น อาการผิวอักเสบ และเรื้อนกวาง สามารถบรรเทาได้โดยวิตามินอี เช่น ขี้ผึ้ง
ในกรณีที่มีอาการไม่มาก การเสริมวิตามินอีมากเกินอาจมีผลทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ ไตทำงานไม่ปกติ หรือมีไข้
อาจเพิ่มความเสี่ยงของการตกเลือด เกิดจากการขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้วิตามินเคไม่สามารถทำงานได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ขาดวิตามินเค) อาจทำให้เลือดออกที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ใช้แอสไพรินร่วมด้วย และเพิ่มอัตราเสี่ยงมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ warfarin (Coumadin®) อาการเลือดออกในผู้ป่วยนั้นเกิดขึ้นในรายที่ใช้ปริมาณสูงเกินติดต่อกันของ rac-alpha-tocopherol (เป็นวิตามินอีสังเคราะห์) จะต้องมีคำเตือนให้กับผู้ใช้ที่มีประวัติเลือดออกง่าย หรือใช้ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และต้องใช้ในปริมาณถูกต้อง
ในบางรายมีอาการวิงเวียน เพลีย อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เมื่อใช้ในปริมาณมากเกิน ควรหลีกเลี่ยงในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การรับประทานวิตามินอีต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นได้ในทันที
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
วิตามินบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ ตัวมีส่วนประกอบของวิตามินอีในปริมาณน้อย วิตามินอีในรูปของธรรมชาติจะดีกว่าในรูปของการสังเคราะห์ การใช้วิตามินอีในปริมาณมากนั้นไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่ว่าจะเป็นโดยการกินหรือฉีดก็ตาม
##เพิ่มเติม ข้อมูลจากกองโภชนาการ ประเทศไทย พ.ศ. 2546##
ปริมาณวิตามินอีอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับทารกเท่ากับ 4-5 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 1-8 ปี เท่ากับ 6-7 มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ชายและหญิงเท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อวันตามลำดับ หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินอีเพิ่มขึ้นวันละ 4 มิลลิกรัม
วิตามินอีเป็นวิตามินที่หากขาดไปก็ไม่ได้ทำให้เป็นโรคใด ๆ แต่จำนวนเล็กน้อยของวิตามินอีนั้นให้ประโยชน์สูงแก่ระบบภูมิคุ้มกันในการต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องเยื่อบุผิวจากการถูกทำลาย ขัดขวางการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในคนที่เป็นสิว ดังนั้นการรับประทานวิตามินอีจึงมีส่วนช่วยให้อาการสิวดีขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นวิตามินตัวหนึ่งในร่างกายที่ทำงานหนักมาก ช่วยปกป้องเส้นประสาท ปอด และหัวใจจากการถูกทำลายจากปฎิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ หน้าที่เหล่านี้สำคัญมาก และยังช่วยให้อาการสิวหมดไปได้
รูปแบบของวิตามินอีมีทั้งหมด 8 ชนิด แบบที่ให้ผลต่อร่างกายดีมากที่สุดคือ อัลฟ่า-โทโคฟีรอล
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิวกับวิตามินอี
สิวที่เกิดขึ้นก็มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือสภาพแวดล้อม วิตามินอีช่วยป้องกันสิวโดยการต้านอนุมูลอิสระ มีหลาย ๆ คลินิกที่ได้ตรวจสอบหาความกระจ่างของความสัมพันธ์ระหว่างสิวกับวิตามินอี ตัวอย่างเช่น Journal of Investigative Dermatology ได้ศึกษาว่าวิตามินอีช่วยป้องกันการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขนจากการหมักหมมและจับตัวเป็นก้อน เป็นโอกาสน้อยที่จะอักเสบ อย่างไรก็ดีวิตามินอีสามารถซึมเข้าถึงชั้นผิว ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้รูขุมขนไม่อุดด้วยน้ำมัน โดยวิตามินอีสามารถทำให้น้ำมันไหลออกชั้นผิวภายนอกได้ ทำให้น้ำมันไม่อุดตัน จึงไม่เกิดสิว ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบระดับวิตามินอีในเลือด โดยอาสาสมัคร 100 คน ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี พบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูงกว่าไม่ค่อยเป็นสิว จากการค้นพบดังกล่าว และการทดสอบ ทำให้สรุปได้ว่าระดับวิตามินอีในเลือดต่ำมีโอกาสเป็นสิวได้มาก
ขนาดรับประทาน
ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)
ทั่วไปเข้าใจว่าได้รับปริมาณวิตามินอีเพียงพอจากอาหารต่าง ๆ ผู้ที่ควบคุมอาหาร หรือมีปัญหาลำไส้ทำงานไม่ปกติ ก็อาจต้องการอาหารเสริม ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวันมีหน่วยที่เรียกว่า Alpha-tocopherol Equivalent (ATE) ซึ่งเสมือนกับค่า Internation Units (IU) ที่ฉลากอาหารเสริมนิยมใช้กัน ตามค่าที่กล่าวข้างต้น 1 มิลลิกรัม ATE = 1.5 IU
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถใช้ได้ที่ปริมาณสูงสุดต่อวันคือ 1,000 มิลลิกรัม (หรือ 1,500 IU) แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)
เด็กอายุ 9-13 ปี ที่ 11 มิลลิกรัมต่อวัน (16.5 IU) ไม่ควรเกิน 600 มก. (900 IU)
เด็กอายุ 14-18 ปี รับที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.5 IU) ไม่ควรเกิน 800 มก. (1,200 IU)
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
ผลข้างเคียงและคำเตือน
มีรายงานว่าการใช้วิตามินอีในปริมาณสูงเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตในอัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้วิตามินอีต่อเนื่องเป็นประจำควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณสูง ในการใช้ระยะสั้น ๆ นั้นปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่กำหนด อย่างไรก็ดี วิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายได้หากกินในปริมาณมากเกินกำหนด การรับวิตามินอีทางอาหารนั้นก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประโยชน์เช่นกัน
การตอบสนองของผิวเช่น อาการผิวอักเสบ และเรื้อนกวาง สามารถบรรเทาได้โดยวิตามินอี เช่น ขี้ผึ้ง
ในกรณีที่มีอาการไม่มาก การเสริมวิตามินอีมากเกินอาจมีผลทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ ไตทำงานไม่ปกติ หรือมีไข้
อาจเพิ่มความเสี่ยงของการตกเลือด เกิดจากการขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้วิตามินเคไม่สามารถทำงานได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ขาดวิตามินเค) อาจทำให้เลือดออกที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ใช้แอสไพรินร่วมด้วย และเพิ่มอัตราเสี่ยงมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ warfarin (Coumadin®) อาการเลือดออกในผู้ป่วยนั้นเกิดขึ้นในรายที่ใช้ปริมาณสูงเกินติดต่อกันของ rac-alpha-tocopherol (เป็นวิตามินอีสังเคราะห์) จะต้องมีคำเตือนให้กับผู้ใช้ที่มีประวัติเลือดออกง่าย หรือใช้ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และต้องใช้ในปริมาณถูกต้อง
ในบางรายมีอาการวิงเวียน เพลีย อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เมื่อใช้ในปริมาณมากเกิน ควรหลีกเลี่ยงในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การรับประทานวิตามินอีต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นได้ในทันที
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
วิตามินบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ ตัวมีส่วนประกอบของวิตามินอีในปริมาณน้อย วิตามินอีในรูปของธรรมชาติจะดีกว่าในรูปของการสังเคราะห์ การใช้วิตามินอีในปริมาณมากนั้นไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่ว่าจะเป็นโดยการกินหรือฉีดก็ตาม
##เพิ่มเติม ข้อมูลจากกองโภชนาการ ประเทศไทย พ.ศ. 2546##
ปริมาณวิตามินอีอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับทารกเท่ากับ 4-5 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 1-8 ปี เท่ากับ 6-7 มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ชายและหญิงเท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อวันตามลำดับ หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินอีเพิ่มขึ้นวันละ 4 มิลลิกรัม
เคล็ดลับสุขภาพดีกับวิตามินซี

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
ประโยชน์
เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครียด
การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามินอาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครียด
การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามินอาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร)
วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร)

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)