วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับหน้าใสด้วยส้ม





วิธีทำ
1. เพื่อนหาส้มมา 1-2 ผล แล้วล้างส้มให้สะอาด
2. ปอกเปลือกส้มแล้วแกะเมล็ดออกให้หมด เราก็จะได้ส้มเป็นกลีบๆ พอแกะออกเรียบร้อย
3.นำกลีบส้มมาแปะบนใบหน้า อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดก่อนนะจ๊ะ ผิวจะได้ดูดซึมได้ดีๆ
4. แปะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเป็นอันเรียบร้อย
5. เสร็จแล้วก็ใช้น้ำสะอาดล้างหน้าอีกที ควรทำเป็นประจำอาทิตย์ละ 1-2 ก็ได้ค่ะ
แค่นี้เพื่อนก็จะมีผิวหน้าสวยใสได้แล้วจ๊ะ เพราะในส้มจะมีวิตามินซีอยู่มากมาย ซึ่งเจ้าวิตามินซีเนี่ยจะช่วยให้ผิวหน้าเรากระจ่างใสได้
ได้เคล็ดลับเด็ดๆแล้วอย่าลืมไปลองทำดูนะจ๊ะ ได้ผลยังไงมาบอกกันด้วยน๊า......

มารู้จักเบต้าแคโรทีนกันเถอะ


เมื่อพูดถึง เบต้าแคโรทีน บางคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร? เบต้าแคโรทีน คือสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตาในเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่นเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและพบว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการนำเบต้าแคโรทีนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายชนิด โดยจะผสมวิตามินและเกลือแร่ชนิดอื่นหลายชนิดเข้าไปด้วยเพื่อบำรุงร่างกาย
เบต้าแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เพราะ
เบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผักและผลไม้มีสีสันดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง
สำหรับปริมาณในการรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล (IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่ควรรับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น คือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้
เบต้าแคโรทีนนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณอย่างมาก คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย
นอกจากเบต้าแคโรทีน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิดพรรณของคนเราแล้ว มันยังสามารถทำอันตรายกับตัวเราได้เช่นกัน เนื่องจาก เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการจะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกันข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ดังนั้นการบริโภคเบต้าแคโรทีนที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ขณะที่การรับประทานอาหารแบบธรรมชาติทั่วไป เช่น มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป

ที่มา: วารสารสุขสาระ ฉบับที่ 58

สารสกัดเมล็ดองุ่นป้องกันความชราได้จิงหรือ?


“ความชรา” มัจจุราชเงียบที่แฝงอยู่ในตัวเราอย่างที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากพานพบ แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะเป็นวัฏจักรความเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติที่พกพาเอาโรคต่างๆ ตามมาด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ปวดข้อ ปวดเข่า นอนไม่หลับ ต้อกระจก โรคอ้วน ฯลฯ
สาเหตุของความชราที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ คือ “ฟรีแรดดิคอล” (Free Radical) หรือ “อนุมูลอิสระ” ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาขณะที่เรามีชีวิตจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) คล้ายๆ กับการเกิดสนิมในเนื้อเหล็ก หรือการที่ปอกแอปเปิลทิ้งไว้ในอากาศ แล้วพบว่าเนื้อแอปเปิลจะมีสีดำ แต่ถ้าแช่แอปเปิลที่ปอกแล้วในน้ำมะนาวก็จะไม่ดำ เนื่องจากวิตามินซีในน้ำมะนาวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ “แอนตี้ออกซิแดนท์” นั่นเอง สารก่ออนุมูลอิสระที่มีผลต่อร่างการเรามีอยู่ทั่วไป ทั้งในน้ำ อากาศ อาหาร ฝุ่น ควัน หรือแม้แต่แสงแดด สารมี ผงซักฟอก ซึ่ง ดร.เจฟรีย์ แบลนด์ (Jeffery Bland) นักเคมีและนักโภชนศาสตร์ พบว่า ผลกระทบที่เกิดจากอนุมูลอิสระทำให้เกิดโรคกว่า 60 ชนิด คือ โรคภูมิแพ้ ปวดข้อ ข้อเข่าเสื่อม ต้อกระจก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในหลอดเลือด โรคหัวใจขาดเลือด ต่อมลูกหมากโต ความเหี่ยวย่นของผิว ฯลฯ ยังเป็นโชคดีของมนุษย์ที่อาหารในธรรมชาติ เช่น พืช ผักผลไม้ ที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบันมี “พฤกษเคมี” ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ เช่น พวกวิตามิน เกลือแร่ สารเฟลโวนอยด์ ฯลฯ ที่ร่างกายต้องการ แม้ในปริมาณไม่มากนัก แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งได้แก่ กลุ่มวิตามิน เช่น วิตามินเอ ซี อี ซีลีเนียม สารมีแดง คาร์โรตินอยด์ ในพืชพักผลไม้ เช่น แครอท มะละกอ ฯลฯ และแหล่งใหญ่ที่มีสร้างต้านอนุมูลอิสระมากอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ สารกลุ่มเฟลโวนอยด์ที่พบมากในเมล็ดและเปลือกขององุ่น มีสารเฟลโวนอยด์(Flavonoid) ที่เรียกว่า “โปรแอนโธไซยานิดิน” สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของ “โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน” (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆ ว่า OPC มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและมากกว่าวิตามินอีถึง 20 และ 50 เท่าตามลำดับ บางทีเรียกกันว่า “ซูเปอร์แอนติออกซิแดนท์” (Superantioxidant) สารสกัดเมล็ดองุ่น หรือ OPC นี้ยังพบในเปลือกต้นมะนาว ถั่วลิสง เชอรี่ เปลือกส้ม เปลือกและเมล็ดองุ่น (สีแดงจะมีมากกว่า) ในประเทศทางยุโรป เช่น ฝรั่งเศสจะใช้สารสกัด OPC จากเมล็ดองุ่นและเปลือกต้นสนที่อุดมด้วยวิตามินซีมาใช้เป็นยารักษาโรค และในสหรัฐอเมริกา สารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ติดอันดับ 1 ใน 10 ยาสมุนไพรที่ขายดีที่สุด จากการวิจัยของ นพ.คล๊าก แฮนเซน พบว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ลดอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซีและอี นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างเสริมสารคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผวิหนังแข็งแรงและยังลดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และในระยะหลังๆ ตั้งแต่ปี 1980 พบว่า มีการใช้สารกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์ที่เป็นสารสกัดเมล็ดองุ่นในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอยเปราะ และใช้รักษาเบาหวานขึ้นตาและจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยังอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ ลดภูมแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย การเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ต้องดูปริมาณของสารออกฤทธิ์ เพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า คือ ควรมีปริมาณสาร OPC สูงประมาณ 92-95% ขนาดที่ใช้ในการรักษาสุขภาพ คือ วันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่ในกรณีที่ใช้บำบัดโรค ต้องใช้ขนาดสูงถึงวันละ 150-300 มิลลิกรัม ตามปกติร่างกายของเราจะมีการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น พืชผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที โดยเลือกชนิดตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ เช่น เดินเร็ว แอโรบิก ฯลฯ และหลีกเหลี่ยงสารพิษ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ อยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจผ่องใส ไม่เครียด ไม่อิจฉาริษยา ฯลฯ ก็เป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงจากอนุมูลอิสระที่ทำให้ท่านแก่ก่อนวัยอันควรได้ ซึ่งการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายคุณจะสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ได้ แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะแก่เร็ว เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ทานอาหารหวาน และไขมันสูง ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย อยู่ที่แออัด ขาดสุขลักษณะ มีมลภาวะของอากาศสูง ผู้สูงอายุที่มีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ มีระบบการย่อยอาหารไม่ดี ฯลฯ ท่านก็ควรพยายามลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ข้างต้นโดยกรเสริมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี อี เอ ซีลีเนียม เช่น ส้ม มะเขือเทศ แครอท มะนาว กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลน ก็จะเป็นการดีที่สุด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ใครๆ มาว่าให้ท่านช้ำใจว่า “แก่เกินวัย” หรือถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการตัดสินใจ เพื่อผลคุ้มค่าที่ท่านจะได้รับ


ที่มา thaifitway
Posted by : EZ-Friends

วิตามินEกับสิว


วิตามินอี ช่วยป้องกันสิวอักเสบได้อย่างไร
วิตามินอีเป็นวิตามินที่หากขาดไปก็ไม่ได้ทำให้เป็นโรคใด ๆ แต่จำนวนเล็กน้อยของวิตามินอีนั้นให้ประโยชน์สูงแก่ระบบภูมิคุ้มกันในการต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องเยื่อบุผิวจากการถูกทำลาย ขัดขวางการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในคนที่เป็นสิว ดังนั้นการรับประทานวิตามินอีจึงมีส่วนช่วยให้อาการสิวดีขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นวิตามินตัวหนึ่งในร่างกายที่ทำงานหนักมาก ช่วยปกป้องเส้นประสาท ปอด และหัวใจจากการถูกทำลายจากปฎิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ หน้าที่เหล่านี้สำคัญมาก และยังช่วยให้อาการสิวหมดไปได้
รูปแบบของวิตามินอีมีทั้งหมด 8 ชนิด แบบที่ให้ผลต่อร่างกายดีมากที่สุดคือ อัลฟ่า-โทโคฟีรอล
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิวกับวิตามินอี
สิวที่เกิดขึ้นก็มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือสภาพแวดล้อม วิตามินอีช่วยป้องกันสิวโดยการต้านอนุมูลอิสระ มีหลาย ๆ คลินิกที่ได้ตรวจสอบหาความกระจ่างของความสัมพันธ์ระหว่างสิวกับวิตามินอี ตัวอย่างเช่น Journal of Investigative Dermatology ได้ศึกษาว่าวิตามินอีช่วยป้องกันการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขนจากการหมักหมมและจับตัวเป็นก้อน เป็นโอกาสน้อยที่จะอักเสบ อย่างไรก็ดีวิตามินอีสามารถซึมเข้าถึงชั้นผิว ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้รูขุมขนไม่อุดด้วยน้ำมัน โดยวิตามินอีสามารถทำให้น้ำมันไหลออกชั้นผิวภายนอกได้ ทำให้น้ำมันไม่อุดตัน จึงไม่เกิดสิว ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบระดับวิตามินอีในเลือด โดยอาสาสมัคร 100 คน ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี พบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูงกว่าไม่ค่อยเป็นสิว จากการค้นพบดังกล่าว และการทดสอบ ทำให้สรุปได้ว่าระดับวิตามินอีในเลือดต่ำมีโอกาสเป็นสิวได้มาก
ขนาดรับประทาน
ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)
ทั่วไปเข้าใจว่าได้รับปริมาณวิตามินอีเพียงพอจากอาหารต่าง ๆ ผู้ที่ควบคุมอาหาร หรือมีปัญหาลำไส้ทำงานไม่ปกติ ก็อาจต้องการอาหารเสริม ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวันมีหน่วยที่เรียกว่า Alpha-tocopherol Equivalent (ATE) ซึ่งเสมือนกับค่า Internation Units (IU) ที่ฉลากอาหารเสริมนิยมใช้กัน ตามค่าที่กล่าวข้างต้น 1 มิลลิกรัม ATE = 1.5 IU
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถใช้ได้ที่ปริมาณสูงสุดต่อวันคือ 1,000 มิลลิกรัม (หรือ 1,500 IU) แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)
เด็กอายุ 9-13 ปี ที่ 11 มิลลิกรัมต่อวัน (16.5 IU) ไม่ควรเกิน 600 มก. (900 IU)
เด็กอายุ 14-18 ปี รับที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.5 IU) ไม่ควรเกิน 800 มก. (1,200 IU)
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
ผลข้างเคียงและคำเตือน
มีรายงานว่าการใช้วิตามินอีในปริมาณสูงเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตในอัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้วิตามินอีต่อเนื่องเป็นประจำควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณสูง ในการใช้ระยะสั้น ๆ นั้นปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่กำหนด อย่างไรก็ดี วิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายได้หากกินในปริมาณมากเกินกำหนด การรับวิตามินอีทางอาหารนั้นก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประโยชน์เช่นกัน
การตอบสนองของผิวเช่น อาการผิวอักเสบ และเรื้อนกวาง สามารถบรรเทาได้โดยวิตามินอี เช่น ขี้ผึ้ง
ในกรณีที่มีอาการไม่มาก การเสริมวิตามินอีมากเกินอาจมีผลทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ ไตทำงานไม่ปกติ หรือมีไข้
อาจเพิ่มความเสี่ยงของการตกเลือด เกิดจากการขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้วิตามินเคไม่สามารถทำงานได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ขาดวิตามินเค) อาจทำให้เลือดออกที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ใช้แอสไพรินร่วมด้วย และเพิ่มอัตราเสี่ยงมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ warfarin (Coumadin®) อาการเลือดออกในผู้ป่วยนั้นเกิดขึ้นในรายที่ใช้ปริมาณสูงเกินติดต่อกันของ rac-alpha-tocopherol (เป็นวิตามินอีสังเคราะห์) จะต้องมีคำเตือนให้กับผู้ใช้ที่มีประวัติเลือดออกง่าย หรือใช้ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และต้องใช้ในปริมาณถูกต้อง
ในบางรายมีอาการวิงเวียน เพลีย อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เมื่อใช้ในปริมาณมากเกิน ควรหลีกเลี่ยงในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การรับประทานวิตามินอีต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นได้ในทันที
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
วิตามินบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ ตัวมีส่วนประกอบของวิตามินอีในปริมาณน้อย วิตามินอีในรูปของธรรมชาติจะดีกว่าในรูปของการสังเคราะห์ การใช้วิตามินอีในปริมาณมากนั้นไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่ว่าจะเป็นโดยการกินหรือฉีดก็ตาม
##เพิ่มเติม ข้อมูลจากกองโภชนาการ ประเทศไทย พ.ศ. 2546##
ปริมาณวิตามินอีอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับทารกเท่ากับ 4-5 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 1-8 ปี เท่ากับ 6-7 มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ชายและหญิงเท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อวันตามลำดับ หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินอีเพิ่มขึ้นวันละ 4 มิลลิกรัม

เคล็ดลับสุขภาพดีกับวิตามินซี


วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid) หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้


ประโยชน์
เป็นตัวสร้าง
คอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้
แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้าง
เม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของ
เซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิด
โรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้
โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลด
คอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครียด
การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้ง
โรคมะเร็งได้ โดยวิตามินอาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้

วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร)






วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร)


วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร) ภายในวัดหนองแวง (พระอารามหลวง) มีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน เรือนยอดทรงเจดีย์ (จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น) จัดสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุมมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่บนบุษบกตรงกลางและพระประธาน 3 องค์อยู่ตรงกลาง บานประตู หน้าต่าง แกะสลักภาพนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติและมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น ชั้นที่ 2 เป็นหอพัก บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องสังศิลป์ชัย ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องนางผมหอม ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าบานประตูหน้าต่างภาพพระประจำวันเกิด เทพประจำทิศและตัวพึ่ง-ตัวเสวย ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธชาดก ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่องเวสสันดร ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานเรื่องพระเตย์มีใบ้ ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม เป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนามีพระไตรปิฏก ฯลฯ บานประตูแกะสลักรูปพรหม 16 ชั้น ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า บานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ รูปพรหม 16 ชั้น และสามารถชมทัศนียภาพของตัวเมืองขอนแก่นได้ทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออกสามารถมองเห็นบึงแก่นนครได้สวยงามมากเปิดให้พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยว ได้ทำบุญและสักการะพระบรมสาริกธาตุ ตั้งแต่ช่วงเช้า ถึง 18.00 น.